ปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งของเกษตรกรที่แทบจะพูดได้เต็มปากว่า ไม่เคยมีรัฐบาลไหนในช่วงที่ผ่านมาสามารถแก้ไขได้อย่างเด็ดขาด คือ ปัญหา “หนี้สิน” ของเกษตรกรที่มีตัวเลขพอกพูนเพิ่มขึ้นทุกวัน และยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการนำที่ดินและทรัพย์สินไปจำนองจำนำ กระทั่งท้ายสุดกลายเป็นปัญหาไร้ที่ดินทำกินตามซ้ำเข้ามาอีก โดยเมื่อไม่นานมานี้“กลุ่มปฏิบัติงานท้องถิ่นไร้พรมแดน” หรือ “โลโคลแอค” ได้นำข้อผลการศึกษา “โครงการวิจัยการสูญเสียที่ดินของเกษตรกรอันเนื่องมาจากปัญหาหนี้นอกระบบ” ออกมาเปิดเผย ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่หลายข้อ จึงอยากนำมาแบ่งปันเป็นข้อมูลให้ฝ่ายต่างๆ รับทราบ
จากการศึกษาของ “โลโคแอค” ในเรื่องดังกล่าวพบว่า เกษตรกรเข้าสู่วงจรหนี้นอกระบบ เพราะปัญหาสำคัญ 3 ประการ คือ 1.ขาดทุนจากการผลิตเพราะภัยธรรมชาติและราคาผลผลิตตกต่ำ 2.เข้าไม่ถึงแหล่งเงินกู้ในระบบเพราะไม่ผ่านเกณฑ์ให้กู้จากธนาคารของรัฐและสถาบันการเงิน และ 3.ขาดความรู้ความเข้าใจในการวางแผนการผลิต การตลาด การใช้จ่ายและการออม
โดย “พงษ์ทิพย์ สำราญจิตต์” ผู้อำนวยการโลโคลแอค ชี้ว่า แม้รัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะตระหนักถึงปัญหาการถูกยึดที่ดินของเกษตรกรจากนายทุนหนี้นอกระบบ และมีคำสั่งให้มีการสำรวจภาวะหนี้สินเกษตรกร ซึ่งเบื้องต้นพบเกษตรกรเป็นหนี้นอกระบบ 143,437 ราย มูลหนี้ 21,590 ล้านบาท โดยมีกลุ่มที่มีความเดือดร้อนเร่งด่วนจากการนำที่ดินไปค้ำประกันเงินกู้ และอยู่ในชั้นบังคับคดีถูกยึดที่ดินถึงร้อยละ 65 หรือ 92,945 ราย
แต่มาตรการแก้ปัญหาหนี้ของรัฐ ด้วยการปล่อยเงินกู้เพิ่มผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสินนั้น อาจเป็นแค่มาตรการ “ห้ามเลือด” ยังไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้นอกระบบในระดับสาเหตุที่แท้จริง หรือตัดวงจรหนี้นอกระบบที่คุกคามเกษตรกรในปัจจุบันได้
จากงานศึกษาวิจัยพบว่า เกษตรกรในพื้นที่มักเริ่มต้นด้วยการเป็นหนี้ในระบบก่อน โดยการนำหลักทรัพย์ไปค้ำประกันเงินกู้
เมื่อขาดทุนจากการผลิต แต่ต้องการรักษาที่ทำกินไม่ให้ถูกสถาบันการเงินในระบบยึด จึงเข้าสู่วงจรหนี้นอกระบบ เมื่อเป็นหนี้นอกระบบแล้ว เกษตรกรน้อยรายที่จะรักษาที่ทำกินไว้ได้ เนื่องจากนายทุนนอกระบบบางกลุ่มหวังผลในที่ดินและทรัพย์สินของเกษตรกร ปัจจัยผลักดันสำคัญคือ เกษตรกรไม่มีการรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือกัน ชุมชนไม่มีสถาบันการเงินรองรับความเดือดร้อนเฉพาะหน้า รัฐไม่มีสวัสดิการสังคมและมาตรการประกันความเสี่ยงด้านรายได้ให้กับเกษตรกร รวมทั้งไม่มีธนาคารที่ดินที่เกษตรกรจะสามารถนำที่ดินไปจำนองชั่วคราวได้
รศ.วันชัย มีชาติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการศึกษาพัฒนานโยบายการยุติธรรมเพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหานี้ว่า ควรผลักดันให้แก้กฎหมายอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับความเป็นจริงปัจจุบัน จดทะเบียนเจ้าหนี้นอกระบบ รวมทั้งลงทะเบียนแบ่งประเภทของลูกหนี้นอกระบบให้ชัดเจน เพื่อให้ความช่วยเหลือกับกลุ่มที่มีปัญหาเร่งด่วน เช่น เจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือประสบปัญหาภัยพิบัติ ซึ่งควรได้รับความช่วยเหลือ แบบกึ่งให้การสงเคราะห์ เหมือนกรณีตัวอย่างที่ประเทศญี่ปุ่น ที่มีความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กู้เงินได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก คือร้อยละ 0.5-1.5 ต่อปี เพื่อให้ผู้ที่ประสบปัญหาทางการเงินได้รับการช่วยเหลือและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
ผลการศึกษาของโลโคลแอค มีข้อเสนอว่า แนวทางแก้ปัญหาหนี้นอกระบบคือการมีสถาบันการเงินในชุมชนที่เข้มแข็งและทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อทำหน้าที่คัดกรองและช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบอย่างจริงจัง ควรลดกฎเกณฑ์การเข้าถึงเงินกู้จากธนาคารของรัฐ เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงได้จริง และควรใช้หลักการธนาคารเพื่อคนจนเข้ามาแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เหมือนกรณีประเทศญี่ปุ่นและบังกลาเทศ รวมทั้งควรสร้างภูมิคุ้มกันให้เกษตรกรด้วยการสร้างหลักประกันทางรายได้ และการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อวางแผนการผลิตการตลาด และการออมในครัวเรือน
นี่เป็นอีกแง่มุมที่ได้รับจากการศึกษาปัญหา และน่าจะเป็นแนวทางที่ดีแนวทางหนึ่งที่รัฐบาลควรนำไปพิจารณา เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ความเดือดร้อนของเกษตรกรได้อย่างตรงจุด
ปัญหาหนี้ถ้าแก้ไม่ได้ เกษตรกรไทยก็รอดยากครับ
มะลิลา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี