เลาะรั้วเกษตรสัปดาห์นี้ ขอมาแวะเวียนดูการทำงานของกระทรวงเกษตรฯ ซะหน่อย เท่าที่ติดตามการทำงานของกระทรวงเกษตรฯต้องบอกว่า เข้มข้นมากขึ้นและต้องขอปรบมือให้กับการเอาจริงเอาจังในการนำพาทีมงานกระทรวงเกตษรฯ ลุยเพื่อเดินหน้าการพัฒนางานด้านเกษตรให้ได้ตามที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายเอาไว้ ที่หวังจะแก้ปัญหาปากท้องซึ่งเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ของท่านรัฐมนตรี “ฉัตรชัย” ซึ่งได้เรียกข้าราชการระดับหัวของกระทรวงเกษตรฯ ในพื้นที่ต่างจังหวัดมานั่งฟังนโยบายพร้อมกำชับให้ทำความเข้าใจในทุกด้านให้กับเกษตรกรเข้าใจ ทั้งปัญหาความแห้งแล้ง ทั้งปัญหาเกษตรฯ โดยต้องทำหน้าที่ทั้งแนะนำและรับฟังปัญหา หากจังหวัดไหนม็อบโผล่เข้ากรุงและข้าราชการเจ้าของพื้นที่ไม่ทราบ จะถือว่าบกพร่องต่อหน้าที่ เพราะมองว่า “หากเกษตรไม่เดือดร้อนจริงหรือมีการเมืองแอบแฝงเขาคงไม่มาร้อง ขอให้ช่วย”
เอากันขนาดนี้ ต้องบอกว่าเข้มจริงๆ ไหนๆ ก็ไหนๆ กับการเอาจริงเอาจังของท่านรัฐมนตรี ทั้งเรื่องความโปร่งใสและการเดินหน้าแก้ปัญหาภาคเกษตร วันนี้มีอดีตคนเกษตรคนหนึ่งเขาฝากบอกมาถึงท่านรัฐมนตรี “ฉัตรชัย” ให้ตรวจสอบให้ลึก เรื่องของการสอดไส้ของกลุ่มก้อนการเมืองสายเก่าที่ของบประมาณอ้างช่วยเกษตรกร แล้วมาถลุงงบประมาณแผ่นดิน โดยเฉพาะการจัดซื้อสารเคมี เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร กรณีโรคระบาดต่างๆในพืชผลการเกษตรฯ เพราะแว่วว่า เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข้าราชการคนหนึ่ง พาเกษตรกรแถวจังหวัดประจวบฯ เข้าพบที่ปรึกษารัฐมนตรีฯเพื่อขอให้ช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนมะพร้าวที่มีปัญหาโรคหนอนหัวดำระบาดในต้นมะพร้าว ขอให้กระทรวงเกษตรฯ ซื้อสารเคมี เพื่อกำจัดหนอนหัวดำ ซึ่งมันแปลกๆ คุ้นๆ ที่เคยมีใครบางคนเสนอมา ของบประมาณจัดซื้อสารเคมีชนิดเดียวกันเรื่องเดียวกันในสมัยที่ท่านรัฐมนตรีเกษตรฯ “ปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา” เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2557 เป็นวงเงิน 128 ล้านบาท โดยต้นเรื่องที่เสนอมา คือ กรมส่งเสริมการเกษตร เมื่อได้อ่านท่านรัฐมนตรี
“ปีติพงศ์” (ขณะนั้น)จึงเขียนท้ายหนังสือว่า “วิธีการแก้ปัญหาทุกครั้งต้องมีการขอเงินเพิ่มลักษณะอย่างนี้หรือ” และให้กรมส่งเสริมการเกษตรกลับไปทบทวน ให้หาวิธีการใหม่ ที่ต้องทำแบบผสมผสานในการแก้ปัญหา ไม่ใช่ซื้อสารเคมี
เมื่อมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น จึงมีการตรวจสอบไปต้นเรื่องของการซื้อสารเคมีชนิดนี้ ก็ยิ่งแปลกกันไปใหญ่ เพราะเรื่องทั้งหมด เกิดจากที่มีการระบาดของโรคหนอนหัวดำในพื้นที่จังหวัดประจวบฯ ทันเกิดเมื่อช่วงปลายปี 2555 ต่อปี 2556 งานนี้ใครคุมกระทรวงเกษตรฯ สมัยนั้นก็ไปดูกันเอง อยู่ๆ กรมส่งเสริมการเกษตรก็มีการชงเรื่องของซื้อสารเคมีกำจัดหนอนหัวดำในมะพร้าว ช่วยเหลือเกษตรกรในจังหวัดประจวบฯ โดยเสนอเข้าครม. ในช่วงเดือนวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2556 ทั้งที่ไม่มีการประกาศเป็นเขตภัยพิบัติโรคระบาดของจังหวัดประจวบฯ โดยใช้งบกลางในกรอบประมาณ 387.49 ล้านบาทเศษ จัดซื้อช่วงแรกทันที 123 ล้านบาท เพื่อฉีดต้นมะพร้าว ซึ่งได้ผลกับต้นมะพร้าวที่สูงมากกว่า 12 เมตร หลังจากซื้อไปอีก 4 เดือน มีการตรวจสอบพบว่า ได้ผลเพียงร้อยละ 48 และมีความพยายามจะขอเข้ามาอีกทั้งที่ไม่ได้ผล จนท่าน “ปีติพงศ์” ทักท้วง
แต่ที่แปลกไปกว่านั้น มันชั่งบังเอิญ กันเสียจริงๆ ว่า หลังจากซื้อสารเคมีลอตนี้ได้ ช่วงเดือนมีนาคม 2556 จากครม.อนุมัติไม่กี่เดือน ก็มีพี่น้องท้องเดียวกัน 2 คน ที่เป็นข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ “โคตรเก่ง” กระโดดจากข้าราชการซี 8 ที่ทำงานอยู่ต่างจังหวัดข้ามหัวใครหลายคน ไปนั่งในตำแหน่งรองอธิบดี คือ มีรองอธิบดีกรมประมง และรองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งเป็นต้นเรื่องจัดซื้อสารเคมี นี่แหละขอรับและที่สำคัญ มันชั่งบังเอิญเหลือเกินว่า เจ้าของบริษัทคนขายสารเคมีให้กับกรมส่งเสริมการเกษตร 123 ล้านบาท ก็คือ พี่น้องท้องเดียวกับรองอธิบดีทั้งสองคน ทำให้คนของกระทรวงเกษตรฯ งงและก็งง แต่ก็แค่หลับตาปริบๆเพราะรู้กันว่า ที่ผ่านมาใครใหญ่ และจนมาถึงท่านรัฐมนตรีที่ชื่อ “ปีติพงศ์”ท่านเป็นอดีตข้าราชการเกษตรเก่า และเก๋า เรื่องเกมส์การเมืองกำชับให้หาวิธีการใหม่ เอาแบบผสมผสาน ไม่ให้ใช้สารเคมีสุดท้ายมีความพยายามจะเสนอเข้ามาอีก สมัยนี้ปลายปี 2558 วงเงิน 128 ล้านบาท กล้าจริงๆ หากว่ากันว่า มันระบาดที่คุมไม่อยู่จริงจนต้องซื้อสารเคมี ผ่านมา 18 เดือน ป่านนี้หนอนมันคงไม่รอให้ซื้อสารเคมี งานนี้เอายังไงต่อล่ะท่านรัฐมนตรีเข้าใจตรงกันนะครับว่า “ดาวน์ก่อนผ่อนทีหลังเขาทำไง” หวังว่าท่านคงเข้าใจ บอกแล้ว รากการเมืองมันแน่น จะถอนอย่างไง เลือกเอา
ปลาไหลกับใบข่อย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี