จากสภาพดินฟ้าอากาศที่เปลี่ยนไป ทำให้ปีนี้น้ำต้นทุนจากเขื่อนมีน้อย ส่งผลต่อการจัดสรรน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการในภาคเกษตร กระทบต่อชาวนาในลุ่มแม่น้ำภาคกลางซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญของประเทศ ไม่สามารถเสี่ยงทำนาปรังต่อไปได้ เมื่อขาดรายได้จากการทำนาเกษตรกรต้องประกอบอาชีพเสริมอย่างอื่นที่อาจไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิต และความถนัด
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า กรมการข้าวมีความห่วงใยต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของพี่น้องชาวนา จึงคิดหาแนวทางช่วยเหลือ โดยศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานีทำการศึกษาและสร้างโมเดลบริหารจัดการพื้นที่ของชาวนาในสภาวะขาดแคลนน้ำ ตามแนวคิดลดพื้นที่การปลูกข้าวและหาพืชใช้น้ำน้อยที่เหมาะสมปลูกในนาข้าว เพื่อทดแทนรายได้จากการลดพื้นที่การทำนา ควบคู่กับการจัดการน้ำแบบเปียกสลับแห้ง
นายอภิชาติ ลาวัณย์ประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยข้าวปทุมธานี กล่าวเสริมว่า โมเดลดังกล่าวมีแนวทางดำเนินการที่สำคัญ คือ การแบ่งพื้นที่นาเป็น 4 ส่วน ส่วนแรกขุดบ่อน้ำสำรองไว้ใช้โดยใช้ระบบน้ำวน และเลี้ยงปลาหรือกบ ส่วนที่สองปลูกข้าวเท่าที่จำเป็นโดยจัดการน้ำด้วยวิธีเปียกสลับแห้ง ส่วนที่สามปลูกพืชใช้น้ำน้อยในนาที่สามารถสร้างรายได้เท่ากับการทำนา
และในการศึกษาครั้งนี้ได้ทำการปลูกเผือก ซึ่งมีวิธีการปลูกคล้ายกับการปลูกข้าว ส่วนที่สี่เพื่อการพักนาหรือปลูกพืชบำรุงดิน เช่น ปอเทือง
ผลการทดลองตามโมเดลดังกล่าวพบว่า แนวทางดังกล่าวทำให้เกษตรกรสามารถดำรงวิถีชีวิตเดิม และมีรายได้เลี้ยงครอบครัวได้ไม่น้อยไปกว่าเดิมแม้ปลูกข้าวน้อยลง โดยมีข้าวบริโภคจากปลูกข้าว แบบเปียกสลับแห้ง ซึ่งสามารถลดการใช้น้ำ 20-30% หากเหลือกินนำมาจำหน่ายสร้างรายได้ 5,600 บาท/ไร่ จากต้นทุน 4,500 บาท/ไร่ ณ ราคาข้าวเปลือก 6.5-7.5 บาทต่อกิโลกรัม
ส่วนการปลูกเผือกต้องดูแลรักษามากกว่าข้าวแต่น้อยกว่าการปลูกผัก และมีรายได้เป็นที่น่าพอใจ แม้มีต้นทุนสูงกว่าการปลูกข้าวประมาณ 30,000- 40,000 บาทต่อไร่ แต่เมื่อเก็บผลผลิตแล้วมีรายได้ประมาณ 80,000 บาท ณ ราคาจำหน่าย 15-35 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้น การปลูกเผือกจำนวน 1 ไร่ มีรายได้เท่ากับการปลูกข้าวจำนวน 10 ไร่ แต่มีข้อจำกัดว่าเกษตรกรต้องติดต่อหาตลาดเอง จึงควรปลูกในพื้นที่ที่มีตลาดรองรับชัดเจน
นายอภิชาติกล่าวต่อว่า สำหรับวิธีการปลูกเผือก มี 2 ขั้นตอน เริ่มจากขยายพันธุ์ด้วยการเพาะชำ ด้วยหัวพันธุ์ หรือลูกเผือก เตรียมดินด้วยการปรับพื้นเพาะชำให้เรียบแล้วปูด้วยขี้เถ้าแกลบหนาประมาณ 1-2 นิ้ว จากนั้นนำลูกเผือกมาเรียงบนขี้แกลบ แล้วกลบด้วยขี้แกลบบางๆ รดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ เมื่อต้นกล้าอายุได้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ให้นำไปปลูกในแปลงนา
ขั้นที่ 2 การปลูกเผือกในแปลงนา ให้เตรียมดินเหมือนกับการเตรียมแปลงเพื่อปักดำข้าว นำกล้าเผือกที่ได้ไปปักดำในแปลงที่เตรียมไว้ ระยะปักดำ 40X90 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ย 3 ครั้งเริ่มตั้งแต่รองพื้นก่อนการปลูกด้วยปุ๋ยสูตร 18-6-6 ในอัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อเผือกอายุได้ 2 เดือนใส่ปุ๋ย 18-6-6 หรือ 15-15-15 ในอัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ และเมื่อเผือกอายุ 4 เดือนใช้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ในอัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ และเพื่อให้ได้หัวเผือกที่มีขนาดใหญ่ต้องพูนโคนทุกเดือน และตัดหน่อเผือกให้เหลือต้นแม่เพียงต้นเดียว โดยหัวเผือกที่ขายได้ราคาดีควรมีน้ำหนักหัวละ 1 กิโลกรัมขึ้นไป จนกระทั่งเมื่อเผือกในแปลงนาอายุได้ประมาณ 6 เดือน หรือใบล่างกอเผือกเหลืองจนเหลือใบยอด 2 ใบ ก็สามารถเก็บผลผลิตจำหน่ายได้
ด้านนางเพ็ญศรี ชมแค อายุ 56 ปี ชาวบ้านตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า เดิมตนทำนาปลูกข้าวตลอดปี แต่เมื่อเห็นโอกาสของการปลูกเผือกซึ่งใช้น้ำน้อยและมีรายได้ดีกว่าการปลูกข้าว จึงหันมาแบ่งพื้นที่ทยอยปลูกเผือกทีละแปลง ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม แปลงล่าสุดเก็บผลผลิตเมื่ออายุประมาณ 8 เดือน จากต้นทุนไร่ละ 40,000 บาท ได้ผลผลิตกว่า 4,000 กิโลกรัม มีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อในราคากิโลกรัมละ 25 บาท น้ำหนักหัวละไม่ต่ำกว่า 800 กรัม ทำให้มีรายได้จากการจำหน่ายไร่ละ 120,000 บาท ในขณะที่เพื่อนเกษตรกรรายอื่นจำหน่ายไปก่อนหน้านี้ มีรายได้ไร่ละ 150,000 บาท เนื่องจากเป็นช่วงที่ตลาดมีความต้องการสูงจากเทศกาลกินเจ และขณะนี้กำลังเตรียมแปลงเพื่อปลูกรอบใหม่ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีนซึ่งราคาเผือกจะพุ่งสูงอีกครั้งหนึ่ง
“ถือว่าพอใจกับรายได้จากการปลูกเผือก เพราะปลูกเผือก 1 ไร่ มีรายได้มากกว่าปลูกข้าว 10 ไร่ เพราะที่ผ่านมาข้าวขายได้เพียงไร่ละ 6,000 บาทเท่านั้น ส่วนเกษตรกรที่สนใจปลูกเผือกจะต้องขยัน และมีเวลาดูแล คอยกำจัดวัชพืช เฝ้าระวังโรคไหม้และโรคเน่า ใส่ปุ๋ย ถึงเวลาเก็บผลผลิตมีพ่อค้าคนกลางเข้ามารับซื้อถึงพื้นที่ เพื่อป้อนให้โรงงานอุตสาหกรรมและส่งออกต่างประเทศ ตอนนี้ปลูกแล้วยังไม่พอจำหน่าย จึงไม่ห่วงว่าจะล้นตลาด แต่ถ้าช่วงไหนราคาเผือกยังไม่เป็นที่พอใจก็ยืดอายุเป็น 9 เดือนแล้วค่อยเก็บขายเพื่อรอราคาให้สูงขึ้นก็ได้” นางเพ็ญศรีกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี