หลายวันก่อนเห็นข่าวอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร “โอฬาร พิทักษ์” ชี้แจงผลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรปีการผลิต 2558/2559 ซึ่งจนถึง ณ วันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา มีเกษตรกรมาขึ้นทะเบียนแล้วจำนวนประมาณ 6.5 ล้านครัวเรือน
อ่านดูแล้วก็น่าใจหายครับ เพราะทั้งตัวเลขรายได้ หนี้สิน การถือครองที่ดิน มันฟ้องอยู่เต็มตาถึงการทำงานของระดับนโยบายตั้งแต่รัฐบาล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในการแก้ปัญหาด้านการเกษตร ซึ่งภาคที่สำคัญที่สุดของประเทศ
ข้อมูลที่คุณโอฬารบอกมา คือ ตัวเลขรายได้ ซึ่งเป็นรายได้ดิบๆ ยังไม่นับรวมเงินช่วยเหลือชดเชยจากรัฐ พบว่า เกษตรกรกว่า 5.3 ล้านครัวเรือน มีรายได้จากภาคเกษตรซึ่งเป็นอาชีพหลักเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1 แสนบาทเศษๆ ขณะที่เกษตรกร 4.2 ล้านครัวเรือน มีรายได้จากนอกภาคการเกษตรเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 7.9 หมื่นบาท ซึ่งเมื่อคิดเบ็ดเสร็จเป็นรายได้รวมต่อปี ปรากฏว่า มีเกษตรกรถึงกว่า 5.5 ครัวเรือน หรือประมาณ 85% ที่มีรายได้ต่ำกว่าปีละ 1.8 แสนบาท หรือน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ คือ วันละ 300 บาทนั่นเอง
ส่วนตัวเลขหนี้สิน ปรากฏว่า มีเกษตรกร 3.7 ล้านครัวเรือน มีหนี้สินในภาคการเกษตรเฉลี่ยบ้านละ 1.3 แสนบาท ขณะที่ 2.9 ล้านครัวเรือนยังมีหนี้สินนอกภาคการเกษตรอีกบ้านละ 1.3 แสนบาท
สำหรับการถือครองที่ดิน เฉพาะในส่วนของชาวนา 3.7 ล้านครัวเรือน เนื้อที่เพาะปลูก 61.4 ล้านไร่ มีชาวนา 2.4 ล้านครัวเรือนมีที่ดินเป็นโฉนด/น.ส.4 รวมเบ็ดเสร็จประมาณ 39 ล้านไร่ อีก 5.7 แสนรายมีที่ทำกินบนพื้นที่ ส.ป.ก. รวมเนื้อที่ 7.6 ล้านไร่ ขณะที่กลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ ชาวนา 4.5 แสนราย ที่ต้องเช่าที่ดินในการปลูกข้าวคิดรวมเป็นเนื้อที่เบ็ดเสร็จประมาณ 8.4 ล้านไร่
แม้จะมีเหตุและปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้สถานการณ์ของเกษตรกรและชาวนาไทย ไม่เคยกระเตื้องขึ้นเลยในช่วงที่ผ่านมา เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน ปัจจัยการผลิต แต่ตัวเลขที่ออกมาก็สะท้อนให้เห็นได้ว่า การวางแผนและดำเนินมาตรการต่างๆ ด้านการเกษตรของบ้านเรายังขาดประสิทธิภาพอยู่มาก
ยิ่งหากมองย้อนกลับไปถึงการทำงานของกระทรวงเกษตรฯในช่วงที่ผ่านมาก็ยิ่งต้องบอกว่า น่าจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ของเกษตรกรออกมาในรูปนี้
ไม่ใช่ว่า กระทรวงเกษตรฯจะไม่มีนโยบายดีๆ หรือผลงานดีๆ นะครับ แต่เป็นเพราะที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯทำงานในลักษณะฉาบฉวย และเอาแต่ “ลู่ลม” ตามฝ่ายการเมืองที่เข้ามาบริหารกระทรวงอยู่มาก นโยบายจึงมีแต่ความ “ฉาบฉวย” เมื่อมองเข้าไปในเนื้อในมีแต่ความกลวงโบ๋ เข้าอีหรอบ “ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง” อย่างไรอย่างนั้น
ตัวอย่างง่ายๆ เช่น กรณีสนับสนุนการปลูกยางพารา พอฝ่ายการเมืองเคาะโต๊ะออกมา ก็เฮโลพากันจุดกระแสสนับสนุนกันชนิดไม่ลืมหูลืมตา ไม่รู้จักประเมินสถานการณ์
ผมจำได้ ตอนนั้นเคยถามข้าราชการผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในกรมวิชาการเกษตรว่า สนับสนุนปลูกกันครึกโครมแบบนี้ไม่กลัวอีกหน่อยพอกรีดยางได้ แล้วจะทำให้ล้นตลาดบ้างหรือ ท่านก็ตอบว่า สบายมาก ยางเรามีคุณภาพ ตลาดโลกยังต้องการอีกเยอะ
แล้วเป็นยังไงล่ะครับเวลานี้ ราคายางเหลือเท่าไร ต้องมาออกนโยบายให้โค่นสวนยางเก่าทิ้งไปปลูกพืชอื่นทดแทน
หรือจะเอานโยบาย “เกษตรกรปราดเปรื่อง” หรือ “สมาร์ทฟาร์มเมอร์” เคยหันกลับไปดู ไปเช็คกันบ้างหรือเปล่าครับว่า ไอ้ที่จุดกระแสกันครึกโครมในช่วงที่ผ่านมามันเป็นยังไงกันบ้าง ได้ผลมากน้อยขนาดไหน
อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกไปแล้วครับว่า นโยบายดีๆ ของกระทรวงเกษตรฯก็มีอยู่ แต่ติดแค่ต้องลงมือทำกันอย่างจริงจัง ทำกันอย่างมียุทธศาสตร์ และที่สำคัญ คือ ต้องทำกันอย่างต่อเนื่อง
เช่น การพัฒนา “คลัสเตอร์” กลุ่มสินค้าเชื่อมโยงการผลิตจนถึงการตลาดของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ซึ่งโดยส่วนตัวผมมองว่า เป็นนโยบายที่ดีมาก และน่าสนับสนุนให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม แต่กลับไม่ยอมมีใครมาช่วยจุดกระแส ช่วยกันผลักดัน มีแต่จัดงานอีเว้นท์โน่นนี่ จนเปรอะกันไปหมดแล้วในกระทรวงเกษตรฯ
ที่ผ่านมาพลาดไปแล้วก็ให้เป็นบทเรียนไปครับ วันนี้มานับหนึ่งกันใหม่ วางแผนกันใหม่ ทำงานให้เป็นระบบ ก็ยังไม่สาย
เกษตรกรจะได้ลืมตาอ้าปากกับเขาได้เสียที
มะลิลา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี