ปัจจุบันทั่วโลกถือว่าการฟอกเงินเป็นความผิดทางอาญาที่ร้ายแรง ซึ่งการฟอกเงินมักจะเกี่ยวข้องอาชญากรรมร้ายแรง ที่กระทำโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ปัญหาของการฟอกเงินนี้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ด้วยเหตุนี้ทางรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีนโยบายการต่อต้านการคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ จึงได้มอบแนวทางการทำงานให้กับหน่วยงานต่างๆ ในด้านการทำงานที่โปร่งใส เป็นระบบ และตรวจสอบได้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมส่งเสริมสหกรณ์จึงได้นำเอานโยบายการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นมาปรับใช้ในการทำงาน
วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์มีความมุ่งหวังที่จะดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ในเรื่องของการที่จะสร้างความเข้มแข็งและให้สหกรณ์ดำเนินงานอย่างมีธรรมาภิบาล โดยเฉพาะเรื่องของการเงินซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้สหกรณ์ประสบปัญหาได้ เพราะฉะนั้นธุรกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นกับสหกรณ์ จะต้องเป็นธุรกรรมที่ถูกต้องและดำเนินการตามกฎหมาย ต้องดำเนินการภายใต้กฎหมายที่ดูแลอย่างถูกต้อง ซึ่งจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงให้กับสมาชิก ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลง หรือ การทำ MOU ระหว่างกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในกิจการสหกรณ์การทำ MOU ในครั้งนี้จะมีการร่วมมือกัน 3 ด้าน คือ 1.ให้ความร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูลของทั้ง 3 หน่วยงาน พร้อมทั้งสนับสนุนทางด้านวิชาการบุคลากรหรือดำเนินการตามคำเรียกร้องของหน่วยงาน / 2.สนับสนุนนโยบายการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและต่อต้านการสนับสนุนการฟอกเงินแก่การก่อการร้าย / และ 3.ร่วมมือพัฒนาบุคลากรทั้ง 3 หน่วยงานให้มีทิศทางกันทำงานและความเข้าใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
การดำเนินการภายใต้การทำ MOU นี้ แต่ละหน่วยงานจะดำเนินงานตามหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์จะดำเนินการตรวจสอบสหกรณ์ตามอำนาจหน้าที่ โดยในส่วนของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์จะให้ความร่วมมือด้านความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการเงิน การบัญชีของสหกรณ์ ซึ่งถ้าหากพบว่ามีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย จะดำเนินการแจ้งไปยัง ปปง. เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งถ้าหาก ปปง. ตรวจพบการ
กระทำความผิดจริง จะปรับเป็นเงิน 1 ล้านบาท และปรับย้อนหลังตั้งแต่วันแรกที่กระทำความผิดอีกวันละ 1 หมื่นบาท ซึ่งที่ผ่านมาตรวจพบการทำผิดด้านการฟอกเงินระดับหน่วยงานน้อยมาก โดยส่วนใหญ่จะเป็นการกระทำผิดรายบุคคล
นายวิณะโรจน์ กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาได้สั่งการให้กับสหกรณ์จังหวัดทุกจังหวัดเข้าไปตรวจสอบสหกรณ์ โดยการจัดระดับชั้นสหกรณ์ในเขตพื้นที่รับผิดชอบว่ามีสหกรณ์เข้มแข็งอยู่เท่าไร สหกรณ์ที่จะต้องพัฒนาไปสู่ความเข้มแข็งอีกเท่าไร และสหกรณ์ที่จะต้องเข้าไปดำเนินการอย่างเข้มข้นมีเท่าไร รวมทั้งสหกรณ์ที่อยู่ในข่ายของการ ยุบเลิก หรือ การชำระบัญชี มีเท่าไร เพื่อจะใช้เป็นข้อมูลในฐานข้อมูลที่ชัดเจน ซึ่งปัจจุบันเรื่องของความแม่นยำของข้อมูล กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะเป็นฐานข้อมูลที่จะเข้าไปดำเนินการแก้ไขปัญหาและสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ ซึ่งในอนาคตอันใกล้ระบบสหกรณ์ จะเป็นหน่วยนำในการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับชุมชนให้มีความเข้มแข็ง นอกจากนี้ในปี 2559 ที่จะถึง ทางคณะทำงานระหว่างประเทศ หรือ FATF (แฟต-เอฟ) ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบการออกกฎหมายเกี่ยวกับการฟอกเงินในประเทศต่างๆ จะประเมินผลการปฏิบัติงานของประเทศไทยตามมาตรฐานสากล ซึ่งถ้าหากไม่ผ่านการประเมิน ประเทศไทยจะถูก FATF (แฟต-เอฟ) ประกาศให้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงด้านการฟอกเงินและสนับสนุนทางการเงินให้กับการก่อการร้าย
ซึ่งจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือและอาจจะสร้างความเสียหายด้านเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก
การดำเนินงานของกรมส่งเสริมสหกรณ์จากนี้ต่อไป จะมีเจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และ ปปง.จะเข้าไปให้ความรู้กับสหกรณ์ต่างๆ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้วางแนวทางการทำงานว่า จะมีการเชิญ ประธานสหกรณ์ กับ ผู้จัดการสหกรณ์ ในแต่ละพื้นที่ เข้ามารับรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายในการฟอกเงิน และเรื่องของการสนับสนุนการก่อการร้ายให้มีความเข้าใจอย่างชัดเจนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การยกระดับมาตรฐานสหกรณ์ถือเป็นสิ่งสำคัญที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้ตั้งความหวังไว้ว่า สหกรณ์ทั่วประเทศจะต้องเป็นสหกรณ์ที่ได้มาตรฐานและเข้มแข็งในปี 2559 มาตรการนี้เป็นอีกหนึ่งมาตรการ ซึ่งถ้าหากเรื่องของการจัดทำบัญชีนั้นมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และสถานภาพการเงิน ของสหกรณ์มีแนวโน้มที่ดีก็จะเป็นการยกระดับมาตรฐานของสหกรณ์ได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี