บรรดามิตรรักแฟนๆ ผู้เอาใจช่วยการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา มาตลอด เวลานี้ดูเหมือนต่างกำลังเฝ้ามองสถานการณ์ความเป็นไปต่างๆ ด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่ง
ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ปัญหา“อุทยานราชภักดิ์”เป็นเรื่องใหญ่ที่นับวันยิ่งบั่นทอนศรัทธาและความเชื่อมั่นที่ผู้คนมีให้ ตราบใดที่เรื่องราวยังไม่ถูกเคลียร์ให้กระจ่าง ให้สังคมได้หายคลางแคลงใจ หรืออย่างน้อยมีการแสดง “ความรับผิดชอบ”จาก “บุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้อง” เพื่อเป็นการ “ตัดไฟ”ความไม่พอใจ มิให้ยิ่งโหมกระพือรุนแรงจนเกินควบคุมได้
และก็ต้องยอมรับด้วยว่า ฝ่ายตรงข้ามหรือ “ศัตรู”ของรัฐบาลและ คสช.ก็กำลังใช้เรื่อง “อุทยานราชภักดิ์”นี้ เดิมเกมต่างๆ เพื่อ “เตะตัดขา” ค่อยๆ“เจาะยาง” จนกระทั่งไปถึงจุดที่“ล้มทั้งยืน” โดยที่เกมยั่วยุเหล่านี้ ฝ่ายรัฐบาล ทหาร ก็ยัง“คุมไม่อยู่”หรือ“ตามไม่ทัน”หรือ“แก้ไม่ตก” หลายครั้งต้องเดินไปตามเกมที่ถูกขุดกับดักล่อไว้ เข้าทางในการโหมภาพความน่าสงสัยในความไม่ชอบมาพากลของการดำเนินโครงการอุทยานราชภักดิ์มากยิ่งขึ้น
ทำให้นึกเปรียบเทียบถึงหลายๆกรณีอื้อฉาวในอดีต ที่เคยเป็น“จุดตาย”หรือ“จุดสลบ”ที่มีผลทำให้หลายๆรัฐบาลที่ผ่านมา ต้องเสื่อมศรัทธาจากประชาชนจนอยู่ต่อไปไม่ได้ หรืออยู่ต่ออย่างยากลำบาก เช่น ช่วงประวัติศาสตร์อันใกล้ที่มีรัฐบาลจากการรัฐประหารเหมือนยุคนี้คือ ยุค คมช.-คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ที่รัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร แล้วได้พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ต้องมาเสื่อมเพราะกรณี“ที่ดินเขายายเที่ยง” จนหมดแรง กระทั่งต้องเร่งให้มีการเลือกตั้งคืนอำนาจสู่นักการเมือง นักเลือกตั้งนำกลับไปสู่ “วงจรอุบาทว์” เดิมๆ กลายเป็นการปฏิวัติ“เสียของ”มาแล้ว
“บทเรียนมีไว้ศึกษาเพื่อมิให้เดินซ้ำรอย” ก็ขอให้พิจารณากันให้ดี
อันที่จริงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มี “จุดแข็ง” ที่ตลอด 1 ปีกว่าที่ผ่านมา เป็นนายกฯที่ทำงานได้“เข้าตา”กระทั่งมีคะแนนนิยมสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทุกวันนี้กลุ่มก้อนผู้ที่ศรัทธาและเอาใจช่วยก็ยังหนาแน่น แต่ก็ต้องแก้ไขเรื่องที่เป็น“จุดอ่อน”ให้ได้โดยเร็ว ไม่ปล่อยให้ลุกลามไปมากกว่านี้ กระทั่งทำลายสิ่งที่เพียรสร้างกันมาจนหมดสิ้น
นอกจากควรเร่งเคลียร์ปัญหา“อุทยานราชภักดิ์” เพื่อรักษาศรัทธาที่ประชาชนมีให้แล้ว สิ่งที่หลายฝ่ายพยายามกระตุ้นเตือนถึงรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ในจังหวะเวลานี้ที่กำลังเสียกระบวน รวนเร คือ เรื่องไหนสิ่งใดที่“ล่อแหลม”สุ่มเสี่ยงต่อการที่จะทำลายศรัทธาประชาชน ก็พึ่งพิจารณาด้วยความระมัดระวัง หรือระงับยับยั้งไว้เสียก่อนดีกว่า
โดยเฉพาะเรื่องร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพ พ.ศ...หรือ กฎหมายGMO ซึ่งครม.ของพล.อ.ประยุทธ์ มีมติเห็นชอบไปเมื่อ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และกำลังอยู่ในขั้นตอนให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้ง โดยให้รับฟังความเห็นจากกระทรวงการต่างประเทศ,กระทรวงเกษตรและสหกรณ์,กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงอุตสาหกรรม,สำนักงาน ก.พร.และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์มาประกอบการพิจารณา ก่อนเสนอเข้าสนช.-สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ต่อไป
ร่างกฎหมายเกี่ยวกับ GMO สิ่งมีชีวิตตัดต่อทางพันธุกรรมที่ถูกโจมตีด้วยถ้วยคำรุนแรงว่าเป็นสิ่งมีชีวิตประเภท“ผีดิบ”นั้น มีการผลักดันออกมา
ครั้งใด ก็สร้างความขัดแย้งและต่อต้านอย่างหนักทุกที โดยเฉพาะจากกลุ่มผู้ที่ทำงานด้านการเกษตร
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ไม่เพียงนักวิชาการ ภาคประชาชน เอ็นจีโอ สภาเกษตรกรแห่งชาติ แม้กระทั่งหน่วยราชการที่ครม.กำหนดให้ต้องฟังความคิดเห็นด้วย อย่างสภาพัฒน์กับกระทรวงพาณิชย์ต่างก็พากันทักท้วงและย้ำถึงผลกระทบที่น่าห่วงต่อเกษตรกรไทย โดยเฉพาะระบบเกษตรอินทรีย์ที่รัฐบาลนี้ยืนยันสนับสนุนเพื่อความมั่นคงอย่างยั่งยืนของภาคเกษตรไทย
เสียงต่อต้านทักท้วงที่ก่อกระแสขึ้นอย่างมากนี้ ไม่ได้มาจากฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล แต่เป็นเสียงผู้ที่มีความหวังดีต่อบ้านเมือง จึงไม่ใช่เรื่องที่ควรเมินเฉยที่จะรับฟัง ยิ่งเมื่อมีข้อโจมตีว่าการผลักดันกฎหมายดังกล่าว ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรเลย ผู้ได้ประโยชน์แท้จริงคือกลุ่มบริษัทการเกษตรรายใหญ่และทุนข้ามชาติเท่านั้น...มันจะทำให้ความศรัทธาที่มีต่อรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ยิ่งสั่นคลอนได้
เตือนอีกครั้งความสุ่มเสี่ยงที่ไม่จำเป็นเวลานี้ เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง ล้มเลิกได้ ก็ควรเลิกซะเถิดครับ
สาโรช บุญแสง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี