ผมไม่แน่ใจว่า ถึงวันนี้แล้ว รัฐบาลจะเริ่มรู้สึกอะไรหรือไม่ จากผลของความทะลึ่งตึงตังของตัวเองที่ทำอะไรโดยไม่ยอมรับฟังเสียงของประชาชน ทั้งที่สิ่งที่ตัวเองทำไปนั้นกำลังจะสร้างผลกระทบและความเสียหายร้ายแรงต่อประชาชนในวงกว้าง
แต่สิ่งที่รัฐบาลได้เห็นแน่ๆ แล้วก็คือ การลุกฮือขึ้นมาพร้อมกันของภาคธุรกิจ นักวิชาการ เอ็นจีโอ ประชาชน และเกษตรกร มากกว่า 47 จังหวัด 115 องค์กร ทั่วประเทศ เพื่อประกาศจุดยืนคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือ “พ.ร.บ.จีเอ็มโอ”ที่รัฐบาลให้ความเห็นชอบไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมยื่น 2 ข้อเรียกร้อง คือ
1.ให้ชะลอการเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เอาไว้ก่อน โดยให้แต่งตั้งตัวแทนของกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากจีเอ็มโอ อาทิ ตัวแทนจากเกษตรกรและผู้ประกอบการด้านเกษตรอินทรีย์ องค์กรคุ้มครองผู้บริโภค องค์กรสาธารณประโยชน์ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และนักวิชาการด้านกฎหมายที่ติดตามประเด็นความปลอดภัยทางชีวภาพ เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการปรับปรุงร่างกฎหมายอย่างน้อยกึ่งหนึ่งในคณะกรรมการปรับปรุงร่างฯ
2.นำหลักการป้องกันไว้ก่อน การคำนึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจสังคม การมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ตามพิธีสารว่าด้วยความปลอดภัยทางชีวภาพ และพิธีสารเสริมนาโงยา-กัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยการรับผิดและชดเชยความเสียหาย มาเป็นหลักการสำคัญในการปรับปรุงร่างกฎหมาย
ความจริงปัญหาเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน ถ้ารัฐบาลโดยเฉพาะ “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” จะหัดหันมารับฟังความคิดเห็นรอบข้างให้ถ่องแท้เสียก่อน
เพราะก่อนหน้านี้ เกิดข้อถกเถียงกันมากมาย โดยเฉพาะประเด็นการอนุญาตให้นำพืชจีเอ็มโอออกสู่สิ่งแวดล้อม ที่จะก่อผลกระทบตามมาในวงกว้างแน่นอน ทั้งการปนเปื้อนในธรรมชาติ ความเชื่อมั่นในประเด็นเรื่อง “ความปลอดภัยในอาหาร” รวมถึงการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดสำคัญของไทย และมีจุดยืนชัดเจนว่า “ไม่เอาจีเอ็มโอ”
ที่ร้ายไปกว่านั้น คือ ร่างกฎหมายฉบับนี้กลับละเลยการป้องกันและคุ้มครองเกษตรกรไทย โดยมีเนื้อหาที่มุ่งให้การคุ้มครองผลประโยชน์แก่บริษัทเมล็ดพันธุ์ทั้งหลายมากกว่า โดยเฉพาะประเด็น “ความรับผิดชอบ” ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นหากเกิดการปนเปื้อนสู่ธรรมชาติ
ประเด็นเหล่านี้เป็นข้อถกเถียงกันอย่างหนัก จนแม้แต่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ก็เคยไม่ให้การรับรองมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
แต่รัฐบาลและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กลับยัง “ทะลึ่ง” จะดันต่อ
ยิ่งได้ฟังเสียงคุณ “ไก่อู” พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาชี้แจงระหว่างตัวแทนเครือข่ายที่คัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้ บุกไปยื่นหนังสือคัดค้านถึงนายกรัฐมนตรีถึงทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ก็ยิ่งรู้สึกถึงความพิกลพิการถึงตรรกะทางความคิดของรัฐบาล
คุณไก่อู แกยืนยันเสียงหนักแน่นว่า รัฐบาลยินดีรับฟังทุกเสียงของประชาชน ซึ่งตามขั้นตอนแม้ ครม. จะผ่านความเห็นไปแล้ว แต่ก็ยังอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดของคณะกรรมการกฤษฎีกาดังนั้นการเรียกร้องของประชาชน หรือข้อเสนอแนะความเห็นจะถูกนำมาพิจารณาด้วย เรื่องนี้ต่อให้ไปถึง สนช. แล้ว ก็ยังสามารถปรับปรุงแก้ไขได้อยู่ ดังนั้นอย่าเพิ่งมาประท้วงต่อต้าน
ถามว่าที่คุณไก่อูพูดนั้นถูกต้องหรือเปล่า ก็ต้องตอบว่า ถูกต้องครับ โดยกระบวนการ โดยหลักการมันเป็นเช่นนี้
แต่ผมอยากจะถามต่ออีกทีว่าถ้าอยากฟังเสียงประชาชนจริง ทำไมไม่เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นกันตั้งแต่ต้น คุยกันให้สะเด็ดน้ำก่อนถึงค่อยเสนอเป็นกฎหมายขึ้นมา
ทำไมต้องรวบรัดตัดตอนเสนอกฎหมายไปก่อนแบบนี้?
เห็นแล้วก็อดไม่ได้นะครับ ที่จะทำให้นึกถึงข่าวความพยายามจากกลุ่มบริษัทเมล็ดพันธุ์ยักษ์ใหญ่ทั้งบริษัทในประเทศและบริษัทข้ามชาติ ที่พยายามล็อบบี้ให้ผ่านกฎหมายฉบับนี้ให้ได้ ดังที่เห็นกันอยู่ในข่าวเป็นระลอกนับตั้งแต่คสช.เข้ามาบริหารประเทศ
ขอเตือนนะครับว่า “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” ปากคุณจะพูดยังไงก็ได้ แต่อย่าทำให้ประชาชนรู้สึกเด็ดขาดว่าเรื่องนี้มีนอกมีใน
มะลิลา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี