ในที่สุดรัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ต้องตัดสินใจใส่เกียร์ถอย ยอมยกเลิกร่างพ.ร.บ.คุ้มครองความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือ “กฎหมายจีเอ็มโอ” ภายหลังจากเกิดกระแสกดดันคัดค้านอย่างหนักทั้งจากนักวิชาการ เอ็นจีโอ และที่สำคัญ คือ เกษตรกรไทย
ผมไม่ทราบเหมือนกันว่า เพราะอะไรที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ถึงตัดสินใจสั่งให้ยกเลิกการนำเสนอร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว เหตุผลของกลุ่มผู้คัดค้านกฎหมายฉบับนี้ ก็เป็นข้อมูลและข้อเท็จจริงที่เคยถูกหยิบมาพูดครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่ก่อนที่ ครม. จะให้ความเห็นชอบกฎหมายนี้อยู่แล้ว
แต่ก็เอาเถอะครับ ไม่ว่าจะยกเลิกด้วยเหตุผลอันใด แต่ในเมื่อมีการประกาศยกเลิกไปแล้ว ก็ต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ยอมฟังเสียงประชาชน โดยเฉพาะเสียงจากเกษตรกรผู้อาจต้องได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง หากกฎหมายฉบับนี้ผ่านกระบวนการพิจารณาและนำไปประกาศบังคับใช้ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าว ก็น่าจะทำให้ทุกคนอุ่นใจได้ในระดับหนึ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็น “คนจริง” คนหนึ่งที่เมื่อรู้ว่าตนเองตัดสินใจผิดพลาดไปแล้วก็พร้อมจะแก้ไข
“คนดี” ต้องชอบแก้ไข แบบนี้ถือว่านายกฯทำถูกแล้ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากฝากต่อไปถึงนายกรัฐมนตรี รัฐบาล และโดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หันกลับมามองทิศทางการสนับสนุน “เกษตรอินทรีย์” และนำไปขับเคลื่อนกันอย่างจริงจังมากขึ้น
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า โดยเนื้อในของนโยบาย “เกษตรอินทรีย์” ในบ้านเรา ยังมีสิ่งที่หละหลวมอยู่มาก และเป็นเพียงแค่เปลือกนอกที่เราใช้เป็น “จุดขาย” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสินค้าเกษตรและอาหารของเราให้นานาชาติเกิดความมั่นใจเท่านั้น
ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้วระบบ “เกษตรอินทรีย์” ในบ้านเรายังเป็นแค่ “วุ้น” เพราะยังมีการใช้สารเคมีทางการเกษตรกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งไม่ต้องใช้อะไรพิสูจน์มากมาย ดูเพียงแค่ตัวเลขการนำเข้าปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง และสารเคมีทางการเกษตรต่างๆ ของประเทศไทยที่สูงขึ้นๆ ทุกปี ก็พอจะเป็นเครื่องสะท้อนให้เราทราบได้ถึงปริมาณการใช้สารเคมีในภาคการเกษตรบ้านเราที่ขยายวงออกไปอย่างแพร่หลาย ไม่เคยลดลงเลย
และนี่ก็ย่อมหมายถึงระบบ “เกษตรอินทรีย์” ในบ้านเรายังไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ถ้าเกิดขึ้นจริง ปริมาณการนำเข้าสารเคมีก็ควรต้องลดลง ไม่ใช่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน เมื่อหันไปดูงบประมาณของกระทรวงเกษตรฯ ที่ตั้งไว้สำหรับการดำเนินงานด้านเกษตรอินทรีย์ ก็ต้องถือเป็นเม็ดเงินที่น้อยมาก เพราะมีเพียงประมาณ 0.7% ของจำนวนงบประมาณทั้งหมดที่กระทรวงได้รับ
ดังนั้นจึงต้องขอฝากไว้กับรัฐบาล และกระทรวงเกษตรฯ ให้ช่วยกันผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นจริงอีกสักเรื่อง เพราะ “เกษตรอินทรีย์” ไม่ได้เป็นเพียงหนทางที่ทำให้เกิดความมั่นคงทางอาหารมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการใช้สารเคมี ลดการนำเข้า และที่สำคัญ คือ ลดผลกระทบต่อสุขภาพของเกษตรกรและประชาชน
นอกจากนี้ ยังต้องไม่ลืมว่า กระแสผู้บริโภคทั่วโลกเวลานี้ต่างให้ความสำคัญต่อผลกระทบเรื่องสุขภาพ จึงทำให้ตลาดเกษตรอินทรีย์ยังมีอนาคตอีกไกล ดังนั้นประเทศไทยซึ่งได้ประกาศกับทั่วโลกว่า เราจะเป็น “ครัวของโลก” เป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารชั้นนำของโลก จึงควรต้องรีบตื่นตัวและให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์ “เกษตรอินทรีย์” ให้มากขึ้นกว่านี้
ยิ่งช้ามากเท่าไร ก็จะยิ่งเสียโอกาสของเราเองไปมากเท่านั้น
มะลิลา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี