การเกิดขึ้นของภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะถูกนับให้อยู่ในกลุ่มของปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า มิติของปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันไปถึงประเด็นการกำหนดทิศทางพัฒนาประเทศที่ครอบคลุมตั้งแต่การวางแผนด้านพลังงาน การผลิตไฟฟ้า อุตสาหกรรม การคมนาคมขนส่ง การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ การเกษตร ปศุสัตว์ และการจัดการขยะของเสียต่างๆ
สิ่งเหล่านี้ทำให้ทุกประเทศทั่วโลกจำเป็นต้องตื่นตัว หันมาให้ความสำคัญต่อการดำเนินการเพื่อป้องกันการเกิดภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกันมากขึ้น
พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่าความกังวลของประเทศต่างๆ เกี่ยวกับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ทำให้ในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ที่กรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิลเมื่อปี 2535 ประเทศต่างๆ ได้ร่วมลงนามรับรองอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ UNFCCC (United Nations Framework Convention on Climate Change) ซึ่งถือเป็นอนุสัญญาที่เกิดจากความพยายามของประชาคมโลกในการแก้ปัญหาโลกร้อนด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2537 โดยปัจจุบันมีประเทศภาคี 195 ประเทศ และมีการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาต่อเนื่องทุกปี
ขณะที่ในปีนี้ การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 หรือ COP21 ได้จัดขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน - 11 ธันวาคม2558 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้นำคณะผู้แทนของประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ และร่วมหารือในรอบการประชุมระดับสูงของประมุขของรัฐและหัวหน้ารัฐบาลของเวที COP21
ในโอกาสนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวถ้อยแถลงของประเทศไทย โดยย้ำถึงการจัดทำ Action Plan ของประเทศที่จะพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 20-25% ภายในปี ค.ศ.2030 หรือ 15 ปี อาทิ มุ่งลดการใช้พลังงานจากฟอสซิลหันมาใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการขนส่งทางถนนเป็นระบบราง การเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน ขจัดการรุกป่าพร้อมทั้งปลูกป่าเพิ่มเติม การทำแผนบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ จัดทำ Roadmap การลดหมอกควันเหลือร้อยละศูนย์ และที่สำคัญ คือ การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานมากว่า 50 ปีแล้วในรูปแบบ “ประชารัฐ” ด้วยความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม NGO และประชาชน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่สอดคล้องกับการดำเนินการให้บรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในปี 2030 ของสหประชาชาติ
“นอกจากนี้ ในฐานะที่ในปีหน้าประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นประธานกลุ่มจี 77 และจีน ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศกำลังพัฒนา 134 ประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้ประกาศถึงความมุ่งมั่นในการเป็นสะพานเชื่อมความร่วมมือระหว่างประเทศภายในและภายนอกกลุ่มจี 77 ให้มีการดำเนินการจนบรรลุวัตถุประสงค์ของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะที่ผมเองก็ได้ให้ถ้อยแถลงต่อที่ประชุมระดับรัฐมนตรีบนเวที COP21 ยืนยันถึงเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรีและประเทศไทย โดยเฉพาะเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก 20-25% ภายในปี ค.ศ.2030 ที่ต้องทำให้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม” พล.อ.สุรศักดิ์ กล่าว
ด้าน นางสาวภาวิณี ปุณณกันต์ อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า สำหรับวาระสำคัญซึ่งที่ประชุมได้หยิบยกมาหารือ คือ การกำหนดข้อตกลงใหม่เรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมาแทนที่ “พิธีสารเกียวโต” โดยต้องเป็นข้อตกลงที่ทุกประเทศโดยเฉพาะประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่มีส่วนร่วมในการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเบื้องต้นที่ประชุมได้บรรลุถึงข้อตกลง “Paris Agreement” มีสาระสำคัญ อาทิ การกำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกร่วมกันระดับโลก การกำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วสนับสนุนการเงินแก่ประเทศกำลังพัฒนาในการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย การพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี เสริมศักยภาพให้กลไกความร่วมมือทางเทคโนโลยี ซึ่งข้อตกลงดังกล่าว หากมีการผลักดันให้ทุกประเทศโดยเฉพาะกลุ่มที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขนาดใหญ่แสดงความร่วมมือได้ ก็จะส่งผลดีในระยะยาว
“ประเทศไทยเป็นประเทศที่อ่อนไหวต่อผลกระทบจากภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เห็นได้จากการเกิดภาวะน้ำท่วม ภัยแล้ง และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นการสร้างกรอบข้อตกลงที่ประเทศเหล่านี้ยอมรับได้ โดยที่ประเทศไทยก็ไม่เสียผลประโยชน์ จึงเป็นสิ่งที่ควรดำเนินการ”
อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าวต่อว่า “Paris Agreement” เป็นข้อตกลงที่ทุกประเทศมีพันธกรณีในการส่งเป้าหมายดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจากการที่ประเทศไทยได้ประกาศและจัดส่งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก 20-25% สำหรับปี 2030 ต่อที่ประชุม COP21 ดังนั้นสิ่งที่เราต้องดำเนินการต่อหลังจากนี้ คือ การขับเคลื่อนภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งพลังงาน คมนาคมขนส่ง อุตสาหกรรม และภาคการเกษตร เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม
และนี่ยังเป็นภารกิจ “ลดโลกร้อน” ที่รอคอยการพิสูจน์จากคนไทยทุกคน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี