วันนี้การบริหารจัดการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ถูกขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะนาแปลงใหญ่ ซึ่งขณะนี้ชาวนาที่ได้เข้าร่วมโครงการนาแปลงใหญ่ เริ่มได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไปในทิศทางที่ดีกว่าเดิม
นายธีระพงษ์ พุทธรักษา ผู้อำนวยการศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมา กรมการข้าว กล่าวว่า จังหวัดนครราชสีมาได้ทำโครงการนาแปลงใหญ่ในพื้นที่ 5,000 ไร่ ที่บ้านโนนกระสัง ต.กระเบื้องใหญ่ อ.พิมาย มีสมาชิกเข้าร่วมโครงการ 267 ราย แบ่งพื้นที่ดำเนินการรายละ 20 ไร่ โดยพื้นที่ดังกล่าวแม้จะอยู่ในเขตพื้นที่ทุ่งสัมฤทธิ์ที่ถือเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิคุณภาพดีแห่งหนึ่งของไทย แต่ชาวนาในพื้นที่ยังประสบปัญหาหลากหลายด้าน จึงต้องมีรูปแบบการบริหารจัดการนาแปลงใหญ่ตามความเหมาะสมแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1.การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยปรับเปลี่ยนวิถีการทำนาของเกษตรกรที่นิยมทำนาหว่านมาเป็นทำนาหยอด โดยใช้เครื่องจักรกลการเกษตร (เครื่องหยอดข้าว) เข้ามาช่วย ร่วมกับการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ สารชีวภัณฑ์ การปรับปรุงบำรุงดินด้วยปุ๋ยพืชสด เพราะที่นี่มีปัญหาดินเค็มกรมพัฒนาที่ดินได้เข้ามาช่วยเรื่องปรับปรุงบำรุงดินควบคู่ไปด้วย ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำนาได้ผลผลิตที่ดีขึ้น ยังลดต้นทุนโดยเฉพาะค่าเมล็ดพันธุ์และค่าการบริหารจัดการแปลงนา
2.การยกระดับคุณภาพผลผลิต จากที่เกษตรกรปลูกข้าวขาวดอกมะลิ 105 ทั้งหมด ก็ได้แบ่งเป็น 4 แปลง ประกอบด้วยแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพ แปลงผลิตข้าวเพื่อจำหน่ายให้กับสหกรณ์การเกษตร แปลงผลิตข้าวปลอดสารพิษเพื่อบริโภคเองในชุมชน และแปลงผลิตข้าวเพื่อแปรรูปจำหน่ายให้กับผู้บริโภคทั่วไป ซึ่งแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์จะต้องได้มาตรฐานตามที่กำหนด ส่วนแปลงที่เหลือทั้งหมดต้องผลิตข้าวให้ได้ตามมาตรฐาน GAP 3.การเชื่อมโยงตลาด โดยให้เกษตรกรนาแปลงใหญ่ทำการซื้อขายกับแหล่งรับซื้อโดยตรง เช่น สหกรณ์การเกษตร ชมรมผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ 4.การบริหารจัดการ ซึ่งจะมีคณะกรรมการนาแปลงใหญ่ที่มีการแบ่งการบริหารจัดการออกเป็นกลุ่มย่อยโดยมีชาวนาผู้มีความรู้ความสามารถในแต่ละด้านเป็นผู้ควบคุมอีกขั้นหนึ่ง ได้แก่ ชาวนามือทอง มีความรู้เกี่ยวกับการผลิตเมล็ดพันธุ์ ชาวนามืออาชีพ ทำนาแล้วสามารถลดต้นทุนสร้างกำไรได้ รวมถึงชาวนาเครื่องจักรกล ชาวนาอารักขาข้าว ชาวนาไอที และชาวนารุ่นใหม่ ซึ่งผู้นำกลุ่มแต่ละคนก็จะนำความรู้ไปถ่ายทอดให้กับสมาชิกเพื่อร่วมกันการบริหารจัดการทุกด้านอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ด้าน นางนรินทร์ เที่ยงสันเทียะ ผู้จัดการนาแปลงใหญ่ชุมชนโนนกระสังและชาวนามืออาชีพ เล่าว่า จากเดิมตนและชาวนาในพื้นที่ส่วนใหญ่ก็ทำนาแบบตัวคนเดียว มีความรู้ก็ทำอยู่คนเดียวไม่ได้ถ่ายทอดให้กัน พอมีโครงการนาแปลงใหญ่เกิดการรวมกลุ่ม หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็เข้ามาให้การสนับสนุนทั้งความรู้ เทคโนโลยี ตลอดจนเครื่องจักรกลการเกษตร ทำให้ชาวนาเริ่มปรับเปลี่ยนความคิดในการทำนาที่ต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยมากขึ้น อย่างแต่ก่อนทำนาหว่านใช้เมล็ดพันธุ์ข้าว 30 กก./ไร่ พอกรมการข้าวเข้ามาแนะนำให้เปลี่ยนมาทำนาหยอดพร้อมกับสนับสนุนเครื่องหยอดข้าว ทางกลุ่มก็ได้จัดสรรคิวให้ชาวนานำเครื่องหยอดข้าวไปใช้หมุนเวียนกันไป สามารถลดเมล็ดพันธุ์เหลือ 10 กก./ไร่ แค่เพียงอย่างแรกที่เห็นได้ชัดคือต้นทุนเมล็ดพันธุ์ลดลงประมาณ 300-500 บาท/ไร่ และสิ่งที่ตามมาคือผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น เพราะการทำนาหยอดทำให้ต้นข้าวหยั่งรากลงใต้ดินลึกจึงทนแล้งได้ดีขึ้น ซึ่งผลผลิตข้าวในพื้นที่เดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 400 กก./ไร่ พอมาทำนาแปลงใหญ่ปีแรกผลผลิตก็เพิ่มขึ้นเป็น 570-600 กก./ไร่
ข้อดีของการรวมกลุ่มทำนาแปลงใหญ่ที่เด่นชัดสุดคือ ผลผลิตข้าวของกลุ่มมีตลาดรองรับที่แน่นอน โดยทางกลุ่มได้ทำสัญญารับซื้อข้าวกับสหกรณ์การเกษตรพิมาย เพียงแค่ต้องผลิตข้าวคุณภาพตามมาตรฐาน GAP ในปีแรกสหกรณ์ให้โควตารับซื้อข้าว 1,640 ตัน ซึ่งให้ราคาสูงกว่าตลาดตันละ 500 บาท ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวก็มีชมรมผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมา รับซื้อจำนวน 200 ตัน โดยให้ราคาสูงกว่าท้องตลาด 2,000 บาท/ตัน อีก อย่างเรายังได้แปรรูปข้าวจำหน่ายเองภายใต้ชื่อ “ข้าวผูกใจ นาแปลงใหญ่ ทุ่งสัมฤทธิ์” ทำให้ชาวนาไม่ต้องรอขายข้าวให้กับโรงสีอย่างเดียวเหมือนเช่นที่ผ่านมาซึ่งโดนกดราคามาตลอด อีกอย่างคือมีอำนาจในการต่อรอง เช่น รถเกี่ยวนวดข้าวแต่เดิมถ้าต่างคนต่างจ้างจะตกอยู่ที่ 550-600 บาท/ไร่ พอรวมกลุ่มก็ต่อรองเหลือ 480 บาท/ไร่
จากจุดเริ่มต้นที่ชาวนาในพื้นที่ยังกล้าๆ กลัวๆ กับการรวมกลุ่มทำนาแปลงใหญ่ เพราะจะต้องเปลี่ยนการทำนารูปแบบเดิมไปเป็นการทำนาแบบมีระบบบริหารจัดการกลุ่ม มีการพึ่งพาเทคโนโลยีเครื่องจักรกลเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต มีการแปรรูปผลผลิต และอีกหลายเรื่องที่ไม่เคยทำ แต่มาถึง ณ วันนี้ที่ได้เข้าร่วมโครงการมา 1 ฤดูกาลผลิต ส่งผลให้ชาวนาที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 267 ราย สามารถลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต มีตลาดรองรับ สร้างรายได้ที่ดีขึ้น ต่อจากนี้ทางกลุ่มมีแนวทางที่จะขับเคลื่อนการทำนาแปลงใหญ่ต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก เพราะมีสมาชิกรายอื่นสนใจอยากเข้าโครงการนาแปลงใหญ่อีกจำนวนมาก และในอนาคตยังมีเป้าหมายจะพัฒนาจากแปลงนา GAP สู่การเป็นนาอินทรีย์ เพื่อแปรรูปเป็นข้าวอินทรีย์ หรือข้าวเกรดพรีเมียมต่อไป เพื่อเพิ่มมูลค่ารวมถึงเพิ่มช่องทางการจำหน่ายในตลาดข้าวเพื่อสุขภาพให้มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันแม้การเปิด AEC ยังไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนมากนักแต่ราคาข้าวก็ยังผันผวน ดังนั้น จำเป็นต้องพัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวและต้องรวมกลุ่มให้เข้มแข็ง เพื่อเพิ่มหนทางรอดและสร้างความมั่นคงในอาชีพชาวนาต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี