เพิ่งเริ่มเปิดพ.ศ.ใหม่ ปีวอก 2559 ไม่กี่วันก็มีข่าวการเตรียมเคลื่อนไหวของกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางขึ้นแล้ว ท่ามกลางสถานการณ์ที่ราคายางพาราในปีลิงนี้ส่อเค้าว่าจะยิ่งหนักหนาสาหัสกว่าเดิม
ตามข่าวระบุว่า แกนนำชาวสวนยางพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมดได้นัดประชุมเร่งด่วนในวันอังคารที่ 12 มกราคมที่จะถึงนี้ที่จังหวัดตรัง เพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมเสนอให้รัฐบาลช่วยเหลือ หาทางออกในการแก้ปัญหายางพาราที่ราคายังคงตกต่ำอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดราคารับซื้อยางแผ่นดิบรมควันชั้น 3 อยู่ที่กิโลกรัมละเพียง 30 กว่าบาท ทั้งคาดแนวโน้มช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมที่จะถึงนี้ ราคายางมีสิทธิจะตกต่ำต่อจนเหลือเพียงกิโลกรัมละ 25 บาท หรือ “4 โล/ร้อย” ซึ่งเรื่องดังกล่าวรัฐบาลต้องมีมาตรการช่วยเหลือชาวสวนยางเป็นการเร่งด่วน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหนักขึ้นอีก
ทั้งนี้ จากข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคายางชนิดต่างๆ ที่การยางแห่งประเทศไทยรายงานล่าสุด เปิดตลาดวันแรกของปี 2559 เมื่อวันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2559 ราคา ณ ตลาดกลางยางพาราหาดใหญ่ ปรากฏว่า ยางแผ่นรมควันชั้น 3 อยู่ที่ กก.ละ 36.59 บาท ลดลง 53 สตางค์จากช่วงปิดตลาดปี 2558 เมื่อ 30 ธันวาคม 2558 ซึ่งอยู่ที่กก.ละ 37.12 บาท และเมื่อเทียบกับตอนเปิดตลาดของปี 2558 เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2558 ที่ราคากก.ละ 61 บาท เท่ากับตลอดทั้งปี 2558 มาจนถึงเริ่มต้นปี 2559 ราคายางได้ลดหายไปถึงกก.ละ 24.41 บาทเลยทีเดียว
ขณะที่ราคายางแผ่นดิบ ณ ตลาดกลางฯหาดใหญ่ ในวันแรกของปี 2559 ก็เหลือเพียงกก.ละ 35.49 บาท ส่วนในท้องถิ่นรับซื้อยางแผ่นดิบที่กก.ละ 34 บาท
ณ ระดับ ราคายางพาราต้นปี 2559นี้ถือว่า ต่ำที่สุดในรอบกว่า 12 ปีเลยทีเดียว จากราคาเฉลี่ยยางแผ่นดิบเมื่อปี 2546 อยู่ที่กก.ละ 38.86 บาท เป็นต้นมาและหากราคายังคงดิ่งลงจนเหลือ “4โล/ร้อย”หรือกก.ละ 25 บาทตามที่แกนนำชาวสวนยางภาคใต้หวั่นวิตก ก็จะยิ่งทุบสถิติราคาลงไปอีก
ซึ่งโอกาสที่ราคายางพาราในปีนี้จะยังคงตกต่ำลงต่อเนื่องอีก ก็เป็นไปได้สูง เมื่อประเมินจากหลายๆ ปัจจัยลบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอุปสงค์โดยภาพรวมในตลาดโลกความต้องการซื้อยางยังคงชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างประเทศจีนที่เศรษฐกิจชะลอตัว ทั้งจีนก็มีสต๊อกยางในประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนราคาน้ำมันโลกยังคงผันผวนในทิศทางราคาต่ำอยู่
ปัจจัยกลไกตลาดเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ไม่อาจจะฝืนต้านได้ แต่แกนนำชาวสวนยางภาคใต้กำลังตั้งข้อสงสัยว่า มีปัจจัยความไม่ชอบมาพากลเข้ามาซ้ำเติม ทำให้ราคายางพารายิ่งดิ่งหนักขึ้นไปอีก ก็คือ เรื่องที่การยางแห่งประเทศไทยได้เซ็นสัญญาขายยางให้เอกชนจีนรายใหม่ เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยให้รับมอบยางจากเอกชนไทยหรือ กลุ่ม 5 เสือซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกมาก
นอกจากนั้นสัญญาบางส่วนมีการระบุว่า เอกชนจีนต้องซื้อยางราคาสูงกว่าตลาดกก.ละ 15 บาท ณ ราคาอ้างอิงช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งก่อนหน้าจะมีการเซ็นสัญญา ราคายางในตลาดอยู่ที่กก.ละ 40 บาท หลังจากนั้นราคาก็ตกลงมาเหลือ 30 กว่า จนเกิดความสงสัยว่าจะมีการกดราคารับซื้อในประเทศให้ลดลงเรื่อยๆ จนถึง 25 บาทเพื่อให้เมื่อถึงเวลาส่งมอบเดือนมีนาคมนี้ ที่สัญญาระบุต้องซื้อยางราคาสูงกว่าตลาดกก.ละ 15 บาท ก็จะเท่ากับกก.ละ 40 บาทเท่าช่วงที่เซ็นสัญญา
นี่จึงเป็นประเด็นหนึ่งที่การประชุมแกนนำชาวสวนยาง 12 มกราคมนี้ น่าจะมีข้อเรียกร้องให้
เปิดเผยข้อเท็จจริงกรณีการเซ็นสัญญาขายยางให้เอกชนจีน เนื่องจากเชื่อว่าน่าจะมีความไม่โปร่งใส
นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง เพราะที่ผ่านมาการระบายขายยางให้กับจีนที่กระทรวงเกษตรฯดำเนินการมาหลายครั้งตั้งแต่ปี 2557 ก็ล้วนแต่เกิดปัญหามาตลอด จนกระทั่งพล.อ.ฉัตรชัย สาลิกัลยะ รมว.เกษตรฯ ได้สั่งให้ฟ้องเอกชนจีนไปแล้ว ที่ไม่ทำตามสัญญาในการรับมอบยางสต๊อกรัฐที่ตกลงซื้อขายไว้หลายแสนตัน
ดังนั้น เป็นหน้าที่ของกระทรวงเกษตรฯที่จะต้องเข้ามาดูแลเรื่องนี้ให้ดีด้วย อย่าให้เรื่องใหม่นี้ กลายมาเป็นประเด็นที่ซ้ำเติมทั้งความไม่ชอบมาพากลในการระบายขายยางและซ้ำเติมราคายางให้ยิ่งย่ำแย่ลงไปกว่านี้อีก จนทุบสถิติเหลือ 4โล/ร้อย อย่างที่ชาวสวนยางกำลังวิตกกันอยู่
สาโรช บุญแสง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี