8 ม.ค. 58 พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เปิดแถลงข่าวด่วนร่วมกับนายอำนวย ปะติเส ที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางจินตนา ชัยยวรรณการ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถึงมาตรการพยุงราคายางไม่ให้ตกต่ำกว่าราคาในปัจจุบัน โดยตรึงราคารับซื้อในตลาดไว้ที่ราคายางแผ่นดิบ 33 บาทต่อกก. ตามที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาราคายางพาราทั้งระบบ ได้มีมติให้ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมกันดำเนินการ
โดยรมว.เกษตรฯ กล่าวชี้แจงว่า หลังจากที่มีมาตรการตรึงราคา ทำให้ราคายางแผ่นดิบขยับ 33-34 บาท ส่วนน้ำยางข้นขยับชึ้นมาจาก 28 บาทเป็น 28.50 สตางค์ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ราคายางตกทุกวัน ก่อนจะถึงฤดูเปิดกรีดยางในเดือน เม.ย. อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นยังไม่มีมาตรการรับซื้อยางในราคานำตลาด หรือราคาที่เกษตรกรเรียกร้อง 50-60 บาทต่อกก. ดังนั้นช่วงนี้ตนได้เร่งวางกลไกรองรับปัญหาทุกด้านโดยให้ การยางแห่งประเทศไทย(กยท.)สามารถขับเคลื่อนได้เต็มที่ตามกฎหมาย พ.ร.บ.การยางแห่งชาติ ในการช่วยเหลือเกษตรกรสวนยางทั้งระบบ ซึ่งสัปดาห์หน้าหลังจากวันที่ 14 ม.ค.นี้ ที่ตนเสนอรายชื่อคณะกรรมการบริหารการยางแห่งประเทศไทย(บอร์ดกทย.)เข้าผ่านความเห็นชอบจากครม.แล้วจะทำให้การขับเคลื่อนคณะกรรมการยาง มีกฎหมายรองรับ ในการช่วยเหลือเกษตรกรด้านราคา สวัสดิการ และค่าครองชีพ รวมทั้งได้มอบให้นาง จินตนา นำทีมลงพื้นที่รับรู้ปัญหาจริงจากเกษตรกรภาคใต้ ที่จ.นครศรีธรรมราช วันที่10 ม.ค. และวันที่11 ม.ค.ตนจะเรียกประชุมคณะกรรมการร่วมพัฒนายางพาราครบวงจร โดย มีแกนนำกลุ่มเกษตรกรแทบทุกกลุ่มเข้าร่วม จะหารือกันเพื่อหาทางออกอีกครั้งไม่ให้ราคาไหลลงไปกว่านี้ในช่วงเปิดกรีดและจะเดินหน้าต่ออย่างไร
“นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงปัญหาราคายางพาราตกต่ำอย่างมาก โทรศัพท์มาสั่งการกับผมวันละ 3 เวลาย้ำว่ามาตการต่างๆต้องให้ถึงมือเกษตรกรโดยเฉพาะรายย่อย ที่เดือนร้อนจริง และเร่งให้จ่ายเงินช่วยรายได้ไร่ละ1,500 บาทให้จบภายในเดือนนี้ ทั้งนี้ท่านายกฯได้กังวลถึงเกษตรกรสวนยางที่ไม่มีเอกสารสิทธิ จะไม่ได้รับเงินชดเชย ที่มีจำนวนมาก ได้ให้นายนที ขลิบทอง ผู้อำนวยการกองทุนหมู่บ้าน ให้มาช่วยดูแลเกษตรกรเหล่านี้ อาจเพิ่มเงินกู้ในเรื่องค่าเล่าเรียนบุตร โดยจะมาหารือกับผมวันจันทร์ ที่ 11 ม.ค. “รมว.เกษตรฯกล่าวและว่าสิ่งที่ตนทำวันนี้คือการวางรากฐานให้เกษตรกรทุกอาชีพ ตนรู้ว่าถ้าจ่ายเงินให้เกษตรกร ให้ชาวสวนยางได้คะแนนเสียงทันที ก็ขอให้ทุกฝ่ายอดทนร่วมมือกันจริงๆก็แก้ปัญหาไปได้ ตนมีเป้าหมายระบายใหม่ไปสามประเทศ จีน รัสเซีย อินเดีย อย่างน้อยทำให้ราคาดีขึ้น ไม่เลวร้ายกว่านี้ และอย่าชุมนุมหรือใช้วิธีกดดันไม่ใช่ทางออกที่ดี แต่ก็มองว่าอาจมีเรื่องการเมืองด้วย ที่อยากมีบทบาทนำใกล้เลือกตั้ง
“ส่วนใครไม่พอใจจะมาเรียกร้องให้ออก มาได้เลย ผมก็ออกกลับบ้าน เพราะเหนื่อยมากและไม่ได้อยากเป็น แต่พอเงยหน้าขึ้นไปดูท่านนายกฯเหนื่อยกว่าผมมาก ผมก็ต้องสู้ และคนเป็นทหารออกมาแล้วถอยไม่ได้ ขนาดตายยังเอาดาบยันหลังไว้ และรู้ว่าการเมืองไม่ทำแบบนี้ ไม่เคยวางรากฐานสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกร มาทีก็จ่ายเงินกันที เชื่อว่าสิ่งผมทำไว้ให้เกษตรกร ผลงานไม่เกิดในสมัยผม”รมว.เกษตรฯ กล่าว
รมว.เกษตรฯ กล่าวอีกว่า มาตรการแก้ปัญหายางพาราต้องทำทั้งระบบให้เกิดความยั่งยืน ตามพระราชดำรัสในหลวง ที่ทรงตรัสว่าจะให้เบ็ดตกปลาหรือให้ปลา ซึ่งปัญหายางได้ผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันตกต่ำมาก และจีนผู้บริโภครายใหญ่ประสบปัญหาเช่นกำลังการผลิตลดลง นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคม นำยางไปทำถนนนให้ได้2 หมื่นตันในปีนี้ ซึ่งนโยบายนี้ได้รับคำชมจากประเทศไตรภาคียาง เช่นมาเลเซีย ว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้อง และไทยสามารถทำได้เร็วกว่า โดยมาเลเซียเอง ตั้งเป้าเอายางทำถนนถึง 2 แสนตัน เพราะจะพึ่งตลาดโลกต้องใช้ภายในประเทศให้มากขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นทำสนามฟุตซอล ทำทางเดินผู้สูงอายุ ทำตัวหนอน โดยนายกฯได้สั่งให้ อบต. อปท. เอาไปทำถนนในชุมชนด้วย ซึ่งรัฐบาล จะเพิ่มเติมงบให้ด้วย
“เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินคือการวางรากฐานโครงสร้างในอนาคตด้วยไม่คาดหวังราคาอย่างเดียว โดยรัฐบาล ให้มีอาชีพเสริมในสวนยาง ให้กู้ราย 1 แสนบาท โดยที่ผ่านมาได้มีเกษตรกร 159,270 รายเข้าโครงการ ได้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว จริงๆมาสมัครมากกว่านี้แต่ไม่ผ่านคุณสมบัติ ซึ่งได้รับเงินกู้ 96,963 ราย ที่เหลือกำลังพิจาณา โดยครม.อนุมัติมีงบไปให้ 1 หมื่นล้านบาท และอนุมัติเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.ขยายวงเงินเพิ่มอีก 5 พันล้านบาท ในขณะนี้ได้สั่งการให้ขยายโครงการรับสมัครจำนวนสมาชิกเข้ามารับเงินกู้ได้อีดเพราะยังมีเงินเหลือ มี2,861 ล้านบาทได้เปิดโครงการเมื่อวันที่ 5 ม.ค.”รมว.เกษตรฯกล่าวและว่าจากการติดตามไปพบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ร้อย61% สนใจด้านปศุสัตว์ ร้อยละ13 ไม้ผลยืนต้น พืชผักสมุนไพร ไม้ประดับ และร้อยละ10 พืชไร่ ร้อยละ9 ด้านประมง ซึ่งยืนยันว่าเกษตรกส่วนใหญ่ให้ความสนใจ จะเห็นปลายปีที่แล้วนายกฯลงไปพบกับเกษตรกประสบความสำเร็จ เราทำให้เกิดความยั่งยืนไปพร้อมๆกันแก้เฉพาะหน้า
ด้านนางจินตนา กล่าวว่ามติการตรึงราคายาง 33 บาท จะติดตามผลต่อเนื่องหากไมเป็นตามราคาที่ตกลงจะใช้ข้อบังคับทางกฎหมายกับภาคเอกชนเพื่อป้องกันพ่อค้ารับซื้อกดราคา นอกจากนี้ได้ให้คณะกรรมการบริหารจัดการด้านราคา โดยมีกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน ไปดูโครงสร้างราคาขึ้นด้วย ในฤดูกาลเปิดกรีดช่วง3 เดือน จะมีประมาณ 6-8 แสนตัน เริ่มเดือนมี.ค.เปิดกรีดการผลิตวันละ 9 พันตันออกสู่ตลาด ทั้งนี้ขอปฎิเสธการเซ็นสัญญาขายยางให้กับจีบ ไม่ได้เป็นการชี้นนำราคาตลาดซึ่งเราส่งให้จีนเดือนละ 1.7 หมื่นตันไม่ได้ทำให้ราคาลงอย่างแน่นอน
ขณะที่นายอำนวย กล่าวว่าการตรึงราคาเป็นมาตรหยุดยั้งการไหลลงของราคาช่วงแรก ต่อไปจะมีมาตรการดึงราคาสูงขึ้น ทำพร้อมกับมาตรการตลาด โดยมีกลไกใหม่ใช้ในปี59 โดยผ่านกยท.มีระบบถาวร มีผู้แทนเกษตรกร5 คนคัดสรรมาจาก4 ภาค ในบอร์ดมีทั้งหมด15 คน และคณะกรรมการผู้ทรงวุฒิ ซึ่งจะมีการแต่งตั้งประธานบอร์ด ครบชุดไปขับเคลื่อนได้ โดยมีกองทุนพัฒนายางพารา เป็นกองทุนระยะยาว ที่มีเงินหมุนเวียนปีละ 5-7 พันล้านบาท โดยใช้บริหาร 5% ปลูกยางใหม่แทนยางเก่าร้อยละ 35 % ดูแลปัญหาราคา 3% ดูการพัฒนาเกษตรกร 7% ให้สวัสดิการเกษตรกร 5% วิจัยพัฒนา 5% ตอนนี้ครม.ให้ความเห็นชอบ งบพัฒนาเกษตรกรเพิ่มอีก จะมีการเติมเข้าไปบริหารสวัสดิการ เหล่านี้ ดูแลครองชีพ ค่าใช้จ่าย จัดสรรประจำปี 3%ทำให้องค์กรเกษตรกรเข้มแข็งนับว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์และพลิกโฉมหน้าเกษตรกรสวนยางจะได้อานิสงค์จากพรบ.การยาง เริ่มคิดออฟ ตั้งแต่ 14 ม.ค. โดยมีตัวแทนเกษตรกรมามีส่วนในการบริหารเต็มที่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี