วันพฤหัสบดี ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ที่ราคายางตกต่ำ เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เศรษฐกิจของจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้ายางรายใหญ่ของโลกก็ชะลอตัว กระทรวงเกษตรฯจึงได้วางแผนแก้ไขปัญหา 2 แนวทางพร้อมๆ กัน คือ 1.การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ใช้ยางพาราในการทำถนนโดยผ่านกระทรวงคมนาคม 20,000 ตัน และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ยางพาราในการสร้างสนามฟุตซอลปูพื้นสนามกีฬา เป็นต้น 2. การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคต รัฐบาลได้อนุมัติเงินจำนวน 10,000 ล้านบาท สำหรับโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อให้เกษตรกรประกอบอาชีพเสริมในสวนยาง ช่วยให้มีรายได้เพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้มีเกษตรกรร่วมโครงการ 159,270 ราย ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนจาก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แล้ว 96,563 ราย และเมื่อ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา
มีการขยายวงเงินเพิ่มและได้รับงบประมาณเพิ่มอีก 5,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 15,000 ล้านบาท ขณะนี้เหลือเงินประมาณ 2,861 ล้านบาท ทั้งนี้ จะมีการขยายระยะเวลารับสมัครเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มเติม ตั้งแต่ 15 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
“จากการติดตามผลการดำเนินโครงการปรากฏว่า ร้อยละ 61 ของเกษตรกรมีความสนใจประกอบอาชีพเสริมด้านปศุสัตว์/ร้อยละ 13 ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ประดับ/ร้อยละ 10 ปลูกพืชไร่/ร้อยละ 9 ทำประมง และอื่นๆ อีกร้อยละ 7 ได้แก่การแปรรูปสินค้าเกษตร เป็นต้น” พล.อ.ฉัตรชัย กล่าว
ด้าน นางจินตนา ชัยยวรรณาการ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้ร่วมประชุมกับคณะกรรมการดำเนินการแก้ไขปัญหาสินค้ายางพาราอย่างเป็นระบบครบวงจร โดยได้เชิญทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เกษตรกร และผู้ประกอบการ ร่วมแก้ไขราคายางพาราให้หยุดการลดต่ำลง ซึ่งจากการคาดการณ์ปริมาณผลผลิตยางพาราในช่วง 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม คาดว่าจะมีปริมาณยางพาราประมาณวันละ 9,000 ตัน จึงได้ขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการรับซื้อยางพาราในปริมาณสัดส่วนที่เคยรับซื้อจากอดีต และรับซื้อในราคาที่เหมาะสม โดยจะรับซื้อยางแผ่นดิบในราคาไม่ต่ำกว่า 33.50 บาท/กก. และน้ำยางสดในราคา 28.50 บาท/กก.
นายอำนวย ปะติเส ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กลไกสำหรับการดำเนินงานในปี 2559 โดยมีพ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทยเป็นหลักในการดำเนินงาน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 14 กรกฎาคม 2518 เป็นต้นมา จากนี้จากบทเฉพาะกาลจะเข้าสู่บทถาวรภายในวันที่ 14 มกราคม 2558 โดยจะมีบอร์ดจากทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมบริหารงาน ได้แก่ ตัวแทนเกษตรกร 5 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นต้น รวม 15 คน ซึ่งจะมีการแต่งตั้งประธานบอร์ดและเริ่มขับเคลื่อนการทำงานได้ทันที ทั้งนี้ ในกฎหมายกำหนดให้มีกองทุนพัฒนายางพารา (กองทุนระยะยาว) มีเงินหมุนเวียน ซึ่งได้จากการเก็บเงินเซส ประมาณ
5,000-7,000 ล้านบาท/ปี เพื่อใช้สำหรับวัตถุประสงค์ 6 ด้าน ได้แก่ 1)การบริหารงาน 2)สงเคราะห์เกษตรกรปลูกยางทดแทน 3)การใช้ยางภายในประเทศ 4)สนับสนุนองค์กรเกษตรกรให้เข้มแข็ง 5)สวัสดิการเกษตรกร 6) การวิจัยและพัฒนายางพารา ทั้งนี้ครม.ได้เห็นชอบระเบียบหลักแล้ว ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นโดยตรงแก่เกษตรกรนอกจากเงินสวัสดิการที่จะได้รับ 7% เปิดโอกาสให้องค์กรเกษตรกรและภาครัฐมีส่วนร่วมในการบริหารสวัสดิการร่วมกัน รวมทั้งการพัฒนาองค์กร สร้างความเข้มแข็งต่อระบบบริหารงานต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี