แม้โดยภาพรวมจะเห็นว่า สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เมื่อนำตัวเลขของการเกิดเหตุของปีก่อนๆ มาเป็นตัวเปรียบเทียบ และมีตัว “ชี้วัด” จาก “มวลชน” ที่มีความ “โน้มเอียง” อยู่ข้างฝ่ายรัฐเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยยอมรับว่า เหตุร้ายที่เกิดขึ้น เป็นปฏิบัติการของ “แนวร่วม” ที่เป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดน ไม่ใช่เป็นการสร้างสถนการณ์ของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งการทุ่มเทงาน “การเมือง” ด้วยการ “พัฒนา” กลายเป็น “จุดแข็ง” ให้ประชาชน เชื่อมั่นมากขึ้นว่า รัฐไทยมีความ “จริงใจ” อย่างแท้จริงกับการ สร้างความสงบ ให้เกิดขึ้นกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
แต่...ก็ไม่ได้หมายความว่า สถานการณ์การ “สู้รบ” จะหมดไปจาก แผ่นดิน ของจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเร็ววัน เพราะถ้าสังเกตให้ดี จะพบว่าเหตุร้ายรายวันที่เกิดขึ้น เป็นฝีมือของ “แนวร่วม” รุ่นใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นมาแทนที่ รุ่นเก่า ในขณะที่แนวร่วมรุ่นเก่า ก็ยังคง เคลื่อนไหว “ใต้ดิน” แสดงให้เห็นว่า “บีอาร์เอ็น” สายทหาร ยังไม่ใช่ “ตะเกียงขาดน้ำมัน” และยังมีใช้ ยุทธวิธี เดิมๆ คือการทำ “สงครามกองโจร” โดยมีเป้าหมายที่เจ้าหน้าที่รัฐ และจะสังเกตว่า ระยะหลัง “แนวร่วม” มีการ “ละเว้น” ที่จะไม่ ทำร้าย เป้าหมายอ่อนแอ ที่เป็นข้าราชการพลเรือน และประชาชน ซึ่งเป็นการหวังผลในเรื่องของ “มวลชน”
สถานการณ์ความรุนแรงล่าสุด คือการโจมตีรถยนต์ของ พ.ต.ท.นัฐนันท์ มาแผ้ว สวป.สภ.มายอ จ.ปัตตานี บนถนนสาย สายบุรี-กะพ้อ จนทำให้ พ.ต.ท.นัฐนันท์ เสียชีวิต ในขณะที่ ตำรวจที่ทำหน้าที่ พลขับ บาดเจ็บสาหัส ซึ่งในทางการสืบสวนมีการตั้งประเด็นไว้ 2 ประเด็น คือ เป็นฝีมือของ “แนวร่วม” ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.นัฐนันท์ มาโดยตลอด และพบว่า มักจะใช้เส้นทางดังกล่าว ระหว่าง อ.มายอ และอ.กะพ้อ เดินทางมาพบกับ “เพื่อนหญิง”ที่เป็น “ม่าย” อดีตภรรยาของผู้นำท้องที่คนหนึ่งใน อ.กะพ้อ ที่ถูกยิงเสียชีวิต เมื่อปี 2556
ส่วนประเด็นที่ 2 คือ เรื่อง “ส่วนตัว” ที่พ.ต.ท.นัฐนันท์ มีความ “ชิดเชื้อ” กับอดีตภรรยาของผู้นำท้องที่คนดังกล่าว และอาจจะเป็นเหตุให้ญาติพี่น้องของอดีตสามีของ “เพื่อนหญิง” ของ พ.ต.ท.นัฐนันท์ ไม่พอใจ จึงได้ประสานกับ “แนวร่วม” ในพื้นที่ ก่อเหตุในครั้งนี้
ซึ่งข้อเท็จจริง จะเป็นเรื่องประเด็นที่ 1 หรือที่ 2 เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องหาข้อเท็จจริง โดยที่ไม่มีการ
“บิดเบือน” ถึงสาเหตุของการเสียชีวิต เพราะปัจจุบันเหตุร้ายจำนวนไม่น้อยที่เกิดขึ้น เมื่อมีคนเจ็บ คนตาย ผู้เสียหายจะพยายามที่จะให้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของความมั่นคง คือ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเป็นผู้ “กระทำ” เพื่อหวังเงิน “เยียวยา” และ “บำเหน็จ” ความชอบที่จะติดตามมา มีการ “ช่วยเหลือ” ให้คดีอาชญากรรมธรรมดาเป็นเรื่องของการ “ก่อการร้าย” เป็นเรื่องของ “ความมั่นคง” จนทำให้มีการมองว่า ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ปฏิบัติการทั้งสิ้น
แต่..อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่า “แนวร่วม” ในพื้นที่มีความ “ตั้งใจ” ในการโจมตี เจ้าหน้าที่โดยเฉพาะระยะหลังจะเห็นว่า “ตำรวจ” คือ เป้าหมายหลัก มีตำรวจ ในพื้นที่ 3 จังหวัด ถูกโจมตีด้วย อาวุธปืนและระเบิด ติดต่อกันหลายครั้งและล่าสุด คือการยิงถล่มรถยนต์ของ พนักงานสอบสวน สภ.ยะรัง ที่บ้านกือแนกือบง ต.ประจัน อ.ยะรัง และการวางระเบิดแสวงเครื่อง ทหารพราน ที่บ้านบินยาลิมอ ต.ยะรัง อ.ยะรัง ในวันเดียวกัน และนอกจากนั้น ยังมีการยิงนางวราพร หะมิดง ลูกจ้างโครงการ 4,500 ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เสียชีวิต และการก่อกวนด้วยการยิง หม้อแปลงไฟฟ้า ที่อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี ปฏิบัติการทั้งหมด คือ คำตอบ ที่ชัดเจนว่า “แนวร่วม” ยังอาศัย “ช่องว่าง” ของเจ้าหน้าที่ ในการก่อเหตุร้าย รายวัน ซึ่งไม่ใช่เป็นการ “ดิ้นเฮือกสุดท้าย” แต่เป็นปฏิบัติการดำรงไว้ซึ่ง “ยุทธศาสตร์” ของขบวนการอย่างต่อเนื่อง
จะเห็นได้ว่าแม้แต่ในฝ่าย “การเมือง” ของ บีอาร์เอ็น ก็มี “เหลี่ยมคู” ในทาง “ยุทธศาสตร์” ในทางการเมืองที่ “เหนือชั้น” และน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือการที่กลุ่ม “มาราปาตานี” ที่สามารถเข้าพบประธาน โอไอซี ด้วยการดำเนินการของ รัฐบาลมาเลเซีย พร้อมทั้งยื่นข้อเสนอ 2 ข้อ 1 คือ ขอให้โอไอซีรับรองสถานะของกลุ่ม “มาราปาตานี” ว่ามีอยู่จริง และ 2 คือ ขอรับการสนับสนุนทางการเงินจาก โอไอซี ซึ่งหาก โอไอซี ยอมรับในข้อเรียกร้องทั้ง 2 ข้อ นับต่อนี้ต่อไป“มาราปัตตานี” ก็จะเป็นอีก ขบวนการหนึ่ง ที่มีความเข้มแข็ง และมีความ “ชอบธรรม” บนเวทีโลก ที่มี โอไอซี ให้การสนับสนุน และมีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนี้
เพราะ โอไอซี เอง ก็ยื่นข้อเสนอ 2 ข้อ กับ “มาราปาตานี” เช่นกันว่า ขอให้ “มาราปาตานี” อย่างให้การสนับสนุนกลุ่ม “ชีอะห์” และกลุ่ม “ไอซิส” หรือ “ไอเอส” การที่ โอไอซี ยื่นข้อเสนอ 2 ข้อ ต่อ “มาราปาตานี” ย่อมแสดงให้เห็นว่า โอไอซี ให้การยอมรับ มาราปาตานี และให้ความสำคัญในการ “ต่อต้าน” กลุ่ม “ชีอะห์” และ “ไอเอส” เป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งทั้งหมด น่าจะไม่เป็นผลดีกับ ประเทศไทย ทั้งในด้านของการ “เจรจา” หรือการ “พูดคุยสันติสุข” ระหว่างรัฐบาลไทยกับกลุ่ม “มาราปาตานี” ที่มีรัฐบาลมาเลเซียเป็นผู้ประสานงาน
เพราะหาก “มาราปาตานี” สามารถที่จะยกฐานะโดยเป็น “องค์กร” ที่ โอไอซี ให้การยอมรับ อำนาจการ “ต่อรอง” บนโต๊ะการ “พูดคุย” กับ “รัฐไทย” ย่อมมากขึ้น และเป็นการยากยิ่ง ที่ “รัฐไทย” จะยอมรับในข้อเรียกร้อง และข้อเสนอ สุดท้าย เวทีการ “พูดคุย” ระหว่าง “รัฐไทย” กับ “มาราปาตานี” ก็เป็นได้เพียงการ “พูดคุย” โดยที่ไม่สามารถบรรลุถึงข้อตกลงของทั้ง 2 ฝ่าย
เพราะลึกๆ แล้ว เชื่อว่า “รัฐไทย” ก็คงจะ “อึดอัด” กับการ “ย่างก้าว” ของผู้อำนวยความสะดวกในการ “พูดคุยสันติสุข” อย่าง “มาเลเซีย” ในการเป็นผู้อำนวยความสะดวก ให้ “มาราปาตานี” เข้าพบกับ ประธานโอไอซี ทั้งที่ มาเลเซีย รู้ดีว่า การให้ “มาราปาตานี” เข้าพบกับประธานโอไอซี จนถึงขนาดมีการยื่นข้อเสนอระหว่างกัน เป็นเรื่องที่ “รัฐไทย” ไม่เห็นด้วย อย่างแน่นอน
ในขณะเดียวกัน “วงใน” ของ “มาราปาตานี” ก็มีความเห็นถึงการ “พูดคุยสันติสุข” กับรัฐบาลไทยว่า การ “พูดคุย” นับแต่นี้ ถ้าจะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 หรือครั้งต่อๆ ไป อาจจะเป็นการ “พูดคุย” โดยที่ไม่ลงลึกในข้อตกลงใดๆ จนกว่าประเทศไทยจะมีการ เลือกตั้ง หรือมีรัฐบาลใหม่ จึงจะมีการ “พูดคุย” ในข้อตกลงอย่างเป็นทางการ
สรุปคือ การที่ “มาเลเซีย” นำ “มาราปาตานี” เข้าพบกับประธาน “โอไอซี” ในครั้งนี้ ส่งผลกระทบกับการ “พูดคุยสันติภาพ” ระหว่าง “รัฐไทย” กับ “มาราปาตานี” อย่างแน่นอน และอาจจะส่งผลกระทบถึง สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่กำลังดีขึ้นเรื่อยๆ ให้เกิดการ “ชะงักงัน” และ สถานการณ์ในพื้นที่ อาจจะ “พลิกกลับ” อีกครั้งหนึ่งโดยเฉพาะระเบิดที่อินโดนีเซีย ที่เป็นฝีมือของ “ไอเอส” นั้น หน่วยข่าวความมั่นคง ต้อง “จับตา” อย่างใกล้ชิด อย่างประมาทว่า บ้านเราไม่มี “ไอเอส” เพราะอาจจะมีเพียงแต่ เรายังหาตัวไม่พบเท่านั้น
เมืองไม้ขม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี