8 ก.พ. 59 เมื่อเวลา 14.30 น. ที่รัฐสภา นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และ นพ.มโน เลาหวณิช อดีตกรรมการปฏิรูปแนวทางฯ ร่วมกันแถลงข่าวเรียกร้องให้มหาเถรสมาคม (มส.) ดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องสละสมณเพศว่า มส.จะมีการประชุมในวันที่ 10 ก.พ.นี้ ตามหนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ส่งเรื่องให้ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม คือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปญฺโญ) ดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกตามลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชที่มีมติของ มส. รับรองให้เป็นคำสั่งที่ชอบ และต้องปฏิบัติตามให้ครบถ้วนตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
นายไพบูลย์ กล่าวว่า พระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชลงวันที่ 10 พ.ค. 2542 มีใจความได้แจ้งว่าได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นถูกทำลาย สมบูรณ์ดีที่สุดแล้วตามอำนาจ และ มส. ได้มีการประชุมในวันเดียวกัน โดยได้มีมติสนองพระดำริมาโดยตลอดให้ชอบด้วยกฎหมายพระธรรมวินัยและกฎ มส. และเห็นควรส่งเรื่องให้ฝ่ายสังฆการดำเนินการตามมติ มส. ต่อไป ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระประสงค์ให้ดำเนินการตามกฎ มส. ฉบับที่ 21 (พ.ศ.2538) ที่ให้ มส.มีอำนาจวินิจฉัยให้ภิกษุสละสมณเพศได้ โดยไม่กระทบต่อการพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมที่กำลังดำเนินการอยู่ และให้คำวินิจฉัยเป็นอันถึงที่สุด ดังนั้นพระลิขิตจึงมีผลตามกฎ มส. ฉบับที่ 21 (พ.ศ.2538) ให้อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายต้องสละสมณเพศและเป็นอันถึงที่สุด
นายไพบูลย์ กล่าวต่อไปว่า ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามกฎ ประธานและกรรมการ มส. มีอำนาจหน้าที่จะต้องติดตามดำเนินการให้พระธัมมชโยต้องสละสมณเพศ เช่นเดียวกันกับกรณีพระยันตระ อมโร ซึ่ง มส. เคยใช้อำนาจวินิจฉัยให้ต้องอาบัติปาราชิกพ้นจากความเป็นสมณเพศ หากไม่ดำเนินการหรือบ่ายเบี่ยงโดยไม่คำนึงถึงหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติในฐานะหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาจถูกกล่าวหาว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และยังอาจจะถูกครหาว่าเป็นการช่วยเหลือให้การสนับสนุนคุ้มครองพระธัมมชโยไม่ให้ต้องปาราชิกตามพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎ มส. ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2521) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม เนื่องจากตามพระวินัยปิฎกแล้วเป็นวิธีการลงโทษแก่ภิกษุผู้ประพฤติผิดธรรมวินัยข้อต่างๆ ไม่รวมอาบัติปาราชิก เพราะผู้ที่ต้องอาบัติปาราชิกไปแล้วไม่ถือเป็นภิกษุอีกต่อไป จึงไม่อาจจะเข้าร่วมสังฆกรรมใดๆ ในการลงนิคหกรรมตามพระวินัย
ด้าน นพ.มโน กล่าวว่า การลงนิคหกรรมคือการตักเตือน กำราบ ลดสิทธิต่างๆ ของภิกษุผู้ประพฤติผิด แต่อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไม่เข้าข่าย เพราะอาบัติปาราชิกไปแล้วทันทีที่กรรมสำเร็จ ถือว่าขาดจากความเป็นพระมานานกว่า 17 ปี แต่งกายคล้ายภิกษุมาตลอด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี