พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าว ระหว่างเป็นประธานเปิดงานวันการศึกษาเอกชน ประจำปี 2559 ภายใต้แนวคิด “การศึกษาเอกชน พัฒนาคน พัฒนาชาติ”จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ระหว่างวันที่ 10-11 ก.พ. ณ บีซีซีฮอลล์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ว่า การศึกษาเอกชนเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยในการพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านการศึกษาที่ช่วยแบ่งเบาภาระรัฐบาลและช่วยส่งเสริมคุณภาพการศึกษาได้อย่างมากทั้งการจัดการศึกษานอกระบบ การศึกษาในสายอาชีพ ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนการจัดการศึกษาของรัฐ อยู่ที่ 77% และภาคเอกชน 23% ซึ่งหากเป็นไปได้ก็อยากจะเพิ่มสัดส่วนของภาคเอกชนในการเข้ามาช่วยรัฐจัดการศึกษาได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การจะเพิ่มสัดส่วนของเอกชนได้นั้น ภาครัฐก็จำเป็นต้องอำนวยความสะดวกเพื่อสนับสนุนให้การบริการทางการศึกษาของภาคเอกชน โดยตนได้ขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไปศึกษา
กฎระเบียบที่มีอยู่ว่าเรื่องใดมีความล้าสมัยจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น อาทิ เรื่องการขอใบอนุญาตจัดตั้ง
โรงเรียน ที่ปัจจุบันกำหนดให้จะต้องก่อสร้างโรงเรียนให้แล้วเสร็จก่อนถึงจะยื่นขอรับใบอนุญาต ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะหากสร้างเสร็จแล้วแต่ไม่อนุญาตจะทำเช่นไร แต่ไม่ได้หมายความสั่งยกเลิก เพียงแต่น่าจะลองไปพิจารณาดูว่ามีวิธีการใดบ้างที่จะแก้ไขช่องว่างตรงนี้ เป็นต้น
พล.อ.ดาว์พงษ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการควบรวมอาชีวศึกษารัฐและอาชีวศึกษาเอกชนนั้น เรื่องนี้เป็นข้อเสนอของภาคเอกชนเองที่ต้องการจะมาอยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ซึ่งทาง สช.ก็ไม่ขัดข้องเพราะจะทำให้การพัฒนาและยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของผู้เรียนอาชีวศึกษาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และยังเกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างคุ้มค่า โดยเวลานี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาดำเนินการ ซึ่งตนสัญญาว่าเมื่อมาอยู่รวมกันแล้วจะต้องไม่เลวร้ายกว่านี้และดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
“ช่วงระยะเวลากว่า 4 เดือน ที่ผมมาทำงานในตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการได้หารือกับผู้บริหาร ศธ.และอดีตรัฐมนตรีได้ข้อสรุปว่าเรายังมีปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขถึง 65 โครงการ ซึ่งมาจาก 6 ประเด็นหลักได้แก่ ปัญหาครู, โรงเรียน, การจัดบริหารจัดการภายใน, ระบบไอซีที, การผลิตคนไม่ตรงกับความต้องการ และการแก้ไขกฎหมาย โดยทั้ง 65 โครงการ มีทั้งที่ลงมือทำแล้วและกำลังจะเริ่มดำเนินการ โดยเฉพาะเรื่องการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการแต่ผมได้วางกรอบเวลาไว้ว่าในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จะต้องเริ่มนำร่องใช้ในสถานศึกษา รวมทั้งจะปรับปรุงตำราเรียนด้วยซึ่งต้องจำแนกให้ชัดเจนว่า เรื่องใดที่เด็กควรรู้ และครูต้องรู้แต่มั่นใจว่าภายในระยะเวลา 1 ปีครึ่งนี้จะดำเนินการได้ครบแน่นอน” รมว.ศธ. กล่าว
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุขรองรับการปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสร้าง ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมในการพัฒนากรอบทิศทาง แผนปฏิบัติการและแนวทางการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุข ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดนโยบายการปฏิรูปประเทศไทย เพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุข เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบสุขภาพของโลก รองรับสังคมผู้สูงอายุซึ่งใน 25 ปีข้างหน้าหรือพ.ศ.2583 ไทยจะมีผู้สูงอายุถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ ในจำนวนนี้เป็นผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียงต้องดูแลใกล้ชิดกว่าร้อยละ 20 รวมทั้งสถานะการเงินการคลังด้านสุขภาพ ที่ขณะนี้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพคิดเป็นร้อยละ 4.6 ของจีดีพีประเทศ ได้กำหนดกรอบการขับเคลื่อนและปฏิรูประบบการสาธารณสุข (4 บวก 4) ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 4 ที่มีพลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2559
ทั้งนี้ ประเด็นการขับเคลื่อน 4 ประเด็นประกอบด้วย 1.การให้บริการอย่างทั่วถึงและครอบคลุม ตามแผนพัฒนาระบบบริการ
12 สาขา 2.การสร้างเสริมสุขภาพทุกกลุ่มวัย 3.การสร้างระบบหลักประกันสุขภาพ ลดความเหลื่อมล้ำในระบบ และ 4.การพัฒนาระบบการแพทย์แผนไทยและการเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ พัฒนาและผลิตยาจากสมุนไพรไทย พัฒนาศักยภาพด้านการแพทย์แผนไทย ส่งเสริมการใช้สมุนไพรในหน่วยบริการระดับต่างๆ และพัฒนาระบบรองรับการเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ สำหรับประเด็นการปฏิรูป 4 ประเด็น คือ 1.ระบบบริการ เน้นบูรณาการระบบบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ ศูนย์ความเป็นเลิศ และระบบการส่งต่อ 2.งานส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เพิ่มสัดส่วนงบประมาณด้านการส่งเสริมสุขภาพ
ป้องกันโรค เน้นการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชนแยกระบบบริหารจัดการให้ชัดเจน 3.ระบบการเงินการคลัง เน้นความยั่งยืนของระบบ และ 4.ระบบบริหารจัดการ ปรับโครงสร้างการบริหารงานของกระทรวงสาธารณสุขและระบบอื่นๆ เช่น กำลังคน เทคโนโลยี ระบบคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี