“ดิน” ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานในการผลิตพืช หากดินมีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอ พืชที่ปลูกก็จะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ อีกทั้งยังสามารถช่วยลดต้นทุนในการผลิตลงได้มาก และที่สำคัญยังสามารถช่วยให้เกษตรกรสามารถพ้นวิกฤติภัยแล้งได้อีกด้วย
นายสุรเดช เตียวตระกูล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า กรมพัฒนาที่ดินเป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมให้เกษตรกรปรับปรุงบำรุงดิน คืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน โดยที่ผ่านมากรมได้ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรในภาวะวิกฤติภัยแล้งตามนโยบายรัฐบาล โครงการการปรับปรุงและพัฒนาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของดินในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี 2558/59 ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเน้นกิจกรรมส่งเสริมการทำ/การใช้ปุ๋ยหมัก กิจกรรมส่งเสริมการทำน้ำหมักชีวภาพ และการปลูกพืชปุ๋ยสดเพื่อการปรับปรุงบำรุงดิน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภัยแล้งให้แก่เกษตรกรให้สามารถดำรงชีพได้ และสร้างโอกาสการปรับโครงสร้างการผลิตให้เหมาะสมกับภูมิสังคมและตลาดสินค้าได้
สุรเดช เตียวตระกูล
อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวต่อไปว่า เพื่อเป็นการแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน กรมได้วางแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรในภาวะวิกฤติภัยแล้งในอนาคตไว้เป็น 2 ระยะ คือ ระยะสั้น โดยจะดำเนินการในฤดูแล้งหรือช่วงที่เกิดภัยแล้งขึ้น เป็นการเฝ้าระวัง ติดตามและเตือนภัยล่วงหน้าบริเวณพื้นที่ที่ประสบภัยแล้ง ผ่านทางเว็บไซต์กรมและเฝ้าระวังพื้นที่ที่ประสบภัยแล้งซ้ำซากเป็นพิเศษ รวมถึงได้สรุปพื้นที่ที่คาดว่าจะประสบภัยแล้งหรือเสียหาย เพื่อประเมินความเสียหายและให้การช่วยเหลือเบื้องต้น
ในส่วนของระยะยาว เป็นการเสนอแนะแนวทางการป้องกันและการจัดการฟื้นฟูพื้นที่ที่ประสบภัยแล้งให้สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตร ได้แก่ การส่งเสริมการอนุรักษ์ดินและน้ำ การปกคลุมดินโดยการปลูกพืชคลุมดินหรือพืชปุ๋ยสด การปลูกหญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ การก่อสร้างแหล่งน้ำในไร่นา โดยเฉพาะในพื้นที่นอกเขตชลประทานเพื่อให้เกษตรกรใช้เก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งเป็นการช่วยเพิ่มระดับน้ำใต้ดินด้วย และการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด เพิ่มอินทรียวัตถุในดินเพื่อเป็นการเพิ่มช่องว่างในดินทำให้ดินสามารถเก็บกักน้ำไว้ได้นานและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยใช้สารเร่ง พด. ต่างๆ เป็นต้น
“อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤติภัยแล้งนี้ไปได้ เกษตรกรในพื้นที่ประสบภัยแล้งควรให้ความ
ร่วมมือ โดยงดการปลูกข้าวเพราะเสี่ยงต่อการขาดทุน และหันมาปลูกพืชคลุมดิน หรือพืชปุ๋ยสด ซึ่งเป็นพืชตระกูลถั่วแทน ในพื้นที่นาเพื่อช่วยปรับปรุงบำรุงดิน โดยเฉพาะปอเทือง เนื่องจากเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อย อีกทั้งยังสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ขายเป็นการสร้างรายได้เสริมทดแทนการทำนา รวมทั้งยังมีประโยชน์ คือ ได้ปรับปรุงบำรุงดินของเกษตรกรไปในคราวเดียวกัน เนื่องจากที่รากปอเทืองมีจุลินทรีย์อาศัยอยู่ ซึ่งสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศสร้างเป็นสารประกอบที่พืชนำไปใช้ในการเจริญเติบโต เมื่อไถกลบลงดินจะปลดปล่อยไนโตรเจนให้กับดินช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน เมื่อดินดีเกษตรกรจึงสามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีลงได้ เป็นการลดต้นทุนการผลิตพืชในฤดูต่อๆ ไปได้” นายสุรเดชกล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี