วันจันทร์ ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2568
เกือบจะจบแบบ “หล่อๆ” แล้วเชียว สำหรับปัญหา “ไฟป่า” และ “หมอกควัน” ใน 9 จังหวัดภาคเหนือ หลังจากช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา “บิ๊กเต่า” พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์
รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ออกมาประกาศผลการตรวจสอบคุณภาพอากาศในพื้นที่ ซึ่งพบว่าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
ตามตัวเลขที่ “บิ๊กเต่า” ว่าไว้ คือปริมาณฝุ่งละอองสูงสุดลดลงจาก 381 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในปี 2558 เหลือ 317 ไม่โครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในปีนี้ ขณะที่จำนวนวันที่มีค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานก็ลดลงถึงกว่าร้อยละ 15
นอกจากนี้จำนวน “จุดความร้อน”หรือ Hotspot ที่เคยตรวจพบว่ามีถึง 8,819 จุดในปีที่แล้ว ก็เหลือแค่ 5,808 จุดในปีนี้ หรือมีจำนวนที่น้อยลงกว่าร้อยละ 40
แต่พอคล้อยหลังคำแถลงไปไม่กี่วัน ปรากฏว่า สถานการณ์กลับวิ่งสวนทางชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะแต่ละจังหวัดพื้นที่เสี่ยงในภาคเหนือ ต้องมาเจอกับสภาพหมอกควันหนาแน่นปกคลุมชนิดมองไม่เห็นท้องฟ้า โดยเฉพาะที่ จ.เชียงใหม่ และ เชียงราย ที่บรรยากาศตลบอบอวนไปด้วยฝุ่นควันจนชนิดที่เรียกว่า แม้แต่พระอาทิตย์ยังแทบจะส่งมาไม่ถึง
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ เราต้องอยู่ในสภาพ “ตกม้าตาย” จากปัญหาหมอกควันอาจเป็นเพราะในช่วงที่ผ่านมา มีการประกาศมาตรการกำหนดช่วงเวลา “ห้ามเผา”ในทุกพื้นที่ มีการควบคุมชาวบ้านโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ที่ตามปกติจะเริ่มมีการเผาพื้นที่การเกษตรเพื่อเตรียมการเพาะปลูกในช่วงต้นเดือนเมษายน แต่ปีนี้ถูกคุมเข้มไม่ให้เผาอย่างเด็ดขาด จนกระทั่งล่วงเข้าสู่ช่วงกลางเดือนเมษายนซึ่งมีการผ่อนปรนมาตรการดังกล่าว บรรดาชาวไร่ชาวนาก็เลยพากันออกมากระหน่ำเผากันชนิดไม่บันยะบันยัง
ผลก็เลยออกมาอย่างที่เห็น คือ ฝุ่นควันกลับมาลอยอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง
เอาแค่ที่ “เชียงใหม่” จังหวัดเดียว ซึ่งชาวบ้านตามอำเภอรอบนอกพากันออกมาเร่งเผาไร่ เผาพื้นที่การเกษตร จนไฟลามเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติและพื้นที่อนุรักษ์หลายแห่ง โดยช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาพบจุดความร้อนในพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกกว่า 300 จุด
ขณะที่ชาวบ้านก็ฉลาดเหลือ เพราะแม้รัฐจะมีการใช้ดาวเทียมตรวจหาจุดความร้อน ซึ่งจะเป็นตัวฟ้องว่ามีการเผาในพื้นที่ของใครบ้าง ชาวบ้านก็เลยพากันเลี่ยงไปเผาในจุดอื่นแล้วปล่อยให้ไฟลามเข้าพื้นที่ของตัวเองแทน ซึ่งไอ้จุดอื่นๆที่ว่า ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเป็นพื้นที่ป่าทั้งนั้น
แล้วทีนี้จะเหลืออะไร ตัวชาวบ้านแทบไม่ต้องหวังว่าจะมาช่วยดับไฟเพราะหลายคนมีผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่ภาระหนักจึงต้องมาตกอยู่ที่เจ้าหน้าที่ซึ่งมีกำลังอยู่แค่ไม่กี่หยิบมือ
ไฟก็ลาม ควันก็ลาม สภาพจึงเป็นอย่างที่เห็น คือ “เอาไม่อยู่”
เวลานี้ “ตัวช่วย” เดียวที่พอจะหวังได้ คือ “พายุฤดูร้อน” ที่เริ่มแผ่อิทธิพลในหลายพื้นที่ ซึ่งต้องมาลุ้นดูว่าจะสามารถช่วยบรรเทาสถานการณ์ได้สักกี่มากน้อย
ส่วนบทเรียนที่เกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็คงต้องเก็บไปทบทวน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรับมือกับปัญหาที่อาจจะเวียนกลับมาในอีรอบเดียวกันอีกครั้งในปีหน้า ไม่ให้เกิดซ้ำรอยขึ้นมาอีก
อย่าว่าแต่คนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเลยครับที่เบื่อกับปัญหา ใครที่ไหนได้ยินได้ฟังก็พากันเบื่อทั้งนั้น เพราะมันเกิดขึ้นซ้ำซากเกินไป
มะลิลา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี