กว่า 10 ปีแล้วหมอกควัน และไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในฤดูแล้งหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตของเกษตรกร
ยังเป็นปัญหาที่ยังแก้ไขไม่สำเร็จ กลายเป็นความขุ่นเคืองให้แก่คนบนดอยที่อยู่ในป่าต้นน้ำกับคนเมืองผู้บริโภคที่อยู่ปลายน้ำเพราะด้วยความเข้าใจบนพื้นฐานที่แตกต่างกัน เป็นปัญหาระดับชาติที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ
ไฟป่าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ การลักลอบเผาป่า และเผาตอซังข้าวโพด เป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาหมอกควันในภาคเหนือแต่ผู้เกี่ยวข้องไม่ได้มีเพียงเกษตรกรเท่านั้นยังมีบริษัทเอกชนต่างๆในฐานะผู้ส่งเสริมและผู้รับซื้อผลผลิตอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ด้วยความร่วมมือในการแก้ปัญหาของหลายฝ่าย ส่งผลให้ในปีนี้พื้นที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ แหล่งปลูกข้าวโพดมากที่สุดแห่งหนึ่ง ของประทศมีรูปธรรมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าที่ชัดเจนขึ้น ค่าจุดความร้อน (Hotspots) ในช่วง 60 วัน ห้ามเผา (ระหว่าง 15 ก.พ.-15 เม.ย.) ลดลงเหลือเพียง 9 จุด ในขณะที่ช่วงเดียวในปี 2558 เกิดขึ้น 239 จุด
ความสำเร็จในเบื้องต้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาสังคมและภาคเอกชน โดยบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินโครงการ “รักษ์และหวงแหนป่า” ได้เข้ามาให้การสนับสนุนอย่างเต็มตัว ร่วมกันวางแผนแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรอย่างเป็นแบบแผนสามารถนำไปปรับใช้ในพื้นที่อื่นๆ ได้
หลังเข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน นายทศพล เผื่อนอุดม นายอำเภอแม่แจ่ม ยอมรับว่าเป็นภารกิจสำคัญในการรักษาพื้นที่ยุทธศาสตร์ป่าต้นน้ำลำน้ำแม่แจ่ม ซึ่งให้น้ำแก่แม่น้ำแม่ปิง 40 และให้น้ำแก่แม่น้ำเจ้าพระยาอีก 17% ในจำนวนพื้นที่แม่แจ่มทั้งสิ้น 1,692,698 ไร่ เป็นพื้นที่มีเอกสารสิทธิจากทางราชการ 23,815 ไร่ หรือ 1.40% เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ 1,351,110 ไร่ หรือ 79.60% ส่วนที่เหลือเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 317,773 ไร่ หรือ 19% และพบว่านอกเหนือจากพื้นที่มีเอกสารสิทธิของทางราชการแล้ว ราษฎรยังเข้าไปใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ 437,712 ไร่ หรือ 25.60%
นายอำเภอแม่แจ่มกล่าวว่า ประชาชนในพื้นที่ประสบปัญหาในเรื่องเอกสารสิทธิในที่ทำกิน อยู่ในพื้นที่ป่า มีปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งการคมนาคมที่ยากลำบาก ไฟฟ้าไม่มีใช้ในหลายหมู่บ้าน ขาดแคลนน้ำ การติดต่อสื่อสารติดขัด มีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีพอ การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จึงเป็นความหวังของเกษตรกร เนื่องจากเป็นพืชที่ทนความแห้งแล้ง สามารถสร้างคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้แก่ราษฎรได้ จึงส่งผลต่อการบุกรุกป่าไม้และปัญหาหมอกควันตามมา
ในปีนี้จึงได้มีการบูรณาการความร่วมมือที่เรียกว่า “ประชารัฐ” ประกอบด้วย ภาครัฐ หลายองค์กร ทั้งสถาบันการการศึกษา เช่นมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ภาคีเครือข่ายภาคประชาชนและภาคธุรกิจเอกชน เข้ามาร่วมกันวางแผน แก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าที่เรียกกันว่า “แม่แจ่มโมเดล” ด้วย 3 มาตรการ คือ มาตรการป้องกัน มาตรการรับมือในช่วง60 วัน (15 ก.พ. 2559-15 เม.ย. 2559) และมาตรการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
มาตรการป้องกัน ซึ่งเป็นเรื่องการบริหารจัดการ การจัดตั้งศูนย์ป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันตั้งแต่ระดับ
อำเภอจนถึงระดับหมู่บ้าน จัดตั้งคณะกรรมการบูรณาการทุกภาคส่วน วิเคราะห์จุดเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า จัดตั้งคณะทำงานระดับหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่ลาดตระเวน อาสาสมัครดับไฟป่า พร้อมการสนับสนุนงบประมาณจากภาคเอกชนในหมู่บ้านปลอดการเผา ตำบลละ 10,000 บาท และหมู่บ้านละ 5,000 บาท นอกจากนี้ยังดำเนินการด้านการประชาสัมพันธ์ให้รับรู้ในระดับหมู่บ้าน
สิ่งที่ดำเนินการควบคู่กันไปก็คือ การลดปริมาณเชื้อเพลิงในพื้นที่ปลูกข้าวโพด หยุดการเผาด้วยการใช้วิธีไถกลบทั้งตอซังเพื่อทำปุ๋ยหมักในพื้นที่ 1.1 หมื่นไร่จัดระเบียบชิงเผาในพื้นที่ที่เหลือ 9 หมื่นไร่ส่วนในจุดโม่ซึ่งมีซังและใบข้าวโพด ก็มีการแปรรูปให้เป็นอาหารโค กระบือ ทำเป็นปุ๋ยหมัก แปรรูปเป็นเชื้อเพลิงอัดแท่งอัดฟ่อนจำหน่ายนอกพื้นที่ ใช้เป็นวัสดุในโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล บางส่วนนำกลับมาใช้ในการเพาะเห็ด ทำกระทง เพดาน กรอบรูป เป็นต้น
ด้านมาตรการรับมือทางจังหวัดได้กำหนดให้นายอำเภอเป็นผู้ประสานทุกหน่วยงานในพื้นที่ สามารถสั่งกำลังพลในพื้นที่และนอกพื้นที่ร่วมกันเข้าไปจัดการกับเหตุการณ์ในพื้นที่ตลอดช่วง 60 วันที่กำหนดไว้
ส่วนมาตรการสร้างความยั่งยืนให้เกษตรกรในระยะยาว เริ่มจากการจัดทำยุทธศาสตร์จัดระเบียบป่าไม้กับชุมชน ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกส่วน การยึดคืนพื้นที่และฟื้นฟูป่าที่ถูกบุกรุก น้อมนำโครงการพระราชดำริสร้างป่าสร้างรายได้เข้าไปใช้ในพื้นที่ ส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนการปลูกข้าวโพดเป็นพืชชนิดอื่นแต่ต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่าการปลูกข้าวโพด ขณะเดียวกันก็จะส่งเสริมอาชีพด้านหัตถกรรม ด้านการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่
ทางด้าน นายจอมกิตติ ศิริกุล ผู้บริหารโครงการพิเศษ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ มีความจริงใจต่อการแก้ปัญหาการบุกรุกทำลายป่า รวมถึงการถดถอยของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และในฐานะเป็นองค์กรเอกชนที่มุ่งมั่นในแนวทางสู่ความยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ความรับผิดชอบต่อสังคม และให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม เครือเจริญโภคภัณฑ์จึงพร้อมที่จะก้าวเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อแก้ไขทุกบริบทของปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้การดำเนินธุรกิจของเครือโภคภัณฑ์ได้ทำระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และเพื่อให้แน่ใจได้ว่าการประกอบธุรกิจจะต้องตั้งอยู่บนฐานของความยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี