ภาคใต้ มีสภาพอากาศที่ค่อนข้างแตกต่างจากภาคอื่นๆ ของประเทศไทย เกษตรกรในภาคใต้ส่วนใหญ่จึงมักทำสวน ทั้งสวนผลไม้ สวนปาล์ม และสวนยางพารา โดยเฉพาะยางพารา นับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่เกษตรในภาคใต้พึ่งเป็นพืชหลักสร้างรายได้ให้กับครอบครัว แต่ในสถานการณ์ที่ราคายางไม่แน่นอนอย่างเช่นปัจจุบัน พืชท้องถิ่นจึงเริ่มเข้ามามีบทบาทกลายเป็นพืชเศรษฐกิจชุมชนที่สามารถสร้างรายได้ทดแทนให้แก่เกษตรกรได้
นายอนันต์ อักษรศรี ผู้อำนวยการ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 8 จังหวัดสงขลา กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า นักวิจัยสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 8 จังหวัดสงขลาและเครือข่ายนำโดย นางสาวมนต์สรวง เรืองขนาบ, นายจิระ สุวรรณประเสริฐ, นางสาวจารุวรรณ บางแวก, นายธัชธาวินท์ สะรุโณ พร้อมด้วยคณะนักวิจัย สวพ.8 ได้ทำการศึกษาวิจัยพืชท้องถิ่นภาคใต้หลายชนิดที่น่าสนใจ เช่น ถั่วหรั่ง มันขี้หนู คล้า กระจูดทะเลน้อย และสะตอบ้านแร่ พบว่าพืชเหล่านี้เป็นพืชประจำถิ่นของพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง ที่เกษตรกรปลูกกันมายาวนาน ใช้เป็นอาหาร ใช้สอย และขายเป็นรายได้เสริมแก่ครัวเรือน
จากการวิจัยพบว่า ถั่วหรั่ง เป็นพืชไร่อายุ 4-6 เดือน ดูแลรักษาง่าย ขึ้นได้ดีในสภาพดินร่วนและร่วนปนทราย ผลผลิตนิยมต้มรับประทาน ปัจจุบันผลผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค และสามารถผลิตเพื่อจำหน่ายเป็นเมล็ดพันธุ์ได้ เนื่องจากปัจจุบันเมล็ดพันธุ์ ดีมีไม่เพียงพอกับความต้องการของเกษตรกร สำหรับพันธุ์ถั่วหรั่งที่นิยมปลูก คือ พันธุ์สงขลา 1 ปรับปรุงพันธุ์โดยกรมวิชาการเกษตรมีเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดง อายุเก็บเกี่ยว 110-120 วัน สั้นกว่าพันธุ์พื้นเมืองที่มีอายุ 150-180 วัน
การปลูกใช้อัตราเมล็ดพันธุ์แห้งทั้งเปลือกประมาณ 7 กิโลกรัมต่อไร่ ปลูกต้นฤดูฝน ใช้ระยะปลูกระหว่างหลุม 60 เซนติเมตร จำนวน 2 ต้นต่อหลุม หลังจากงอก 21 วัน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-12 หรือ 15-15-15 อัตรา 30-50 กิโลกรัมต่อไร่ โดยหว่านระหว่างแถวแล้วพูนโคนกลบ ผลผลิตและผลตอบแทน ผลผลิตฝักสดเฉลี่ย 400-600 กิโลกรัมต่อไร่ ผลผลิตฝักแห้งเฉลี่ย 160-200 กิโลกรัมต่อไร่ ต้นทุนประมาณ 3,000 บาทต่อไร่ รายได้ 8,000-12,000 บาทต่อไร่
มันขี้หนู เป็นพืชไร่อายุประมาณ 5 เดือน มีลักษณะหัวมันขนาดนิ้วมือ ยาว 2–3 เซนติเมตร เรียวหัวท้าย เปลือกบาง ผิวเปลือกสีหม่นหรือดำ ขึ้นได้ดีในสภาพดินร่วน มีศัตรูพืชน้อย ผลผลิตนิยมใช้ทำแกง และเป็นมันต้ม ปัจจุบันยังผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด และไม่สามารถผลิตเพื่อจำหน่ายเป็นหัวพันธุ์ได้เนื่องจากปัจจุบันหัวพันธุ์ดีมีไม่เพียงพอกับความต้องการของเกษตรกร เป็นพืชที่ปลูกง่าย ไม่ต้องการการดูแลรักษามาก สามารถให้ผลผลิตหัวสดได้ 2-3 ตัน/ไร่ มันขี้หนูเป็นพืชพวกเดียวกับฤาษีผสม แต่มีลักษณะพิเศษที่มีรากสะสมอาหารแป้งให้เราเอามาบริโภคได้ เป็นพืชอายุยาวที่ต้องใช้เวลารอเก็บเกี่ยว 6-8 เดือน
พันธุ์จำแนกตามลักษณะรูปทรงของหัวทำให้แยกมันขี้หนูออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ หัวลักษณะค่อนข้างกลม หัวลักษณะทรงกระบอก หัวลักษณะทรงกระสวย สายพันธุ์ที่ได้จากการรวบรวมและผ่านการทดสอบการให้ผลผลิตมาระยะหนึ่งแล้วว่าเป็นพันธุ์ที่มีลักษณะดีและให้ผลผลิตสูงคือ สายพันธุ์ ควนเนียง 1 และพัทลุง 3 การปลูกและดูแลรักษา ไถเตรียมดิน 1-2 ครั้ง ให้ดินมีความร่วนซุย การปลูกมันขี้หนูให้ได้ผลผลิตสูงและมีลักษณะหัวสวยงามต้องปลูกในพื้นที่ดอน ดินมีความร่วนซุยสูง การระบายน้ำดี ไม่มีน้ำท่วมขัง ใช้ระยะปลูก 1 x 1 เมตร
ถ้าหัวมีขนาดใหญ่ใช้เพียง 1 หัว/หลุม แต่ถ้าหัวมีขนาดกลางควรใช้ 2 หัว/หลุม หรือคิดเป็นน้ำหนักประมาณ 15 กก./ไร่ แต่โดยปกติเกษตรกรจะนิยมเก็บหัวขนาดเล็กซึ่งไม่สามารถจำหน่ายสู่ตลาดได้เอาไว้ทำพันธุ์และปลูก 3-4 หัว/หลุม การปลูกมันขี้หนูโดยใช้การปักชำยอดต้องตัดยอดให้มีความยาว 3-4 นิ้ว และปลูกลึกประมาณครึ่งหนึ่งของความยาว หัวมันขี้หนูจะขยายขนาดเต็มที่เมื่ออายุได้ประมาณ 6 เดือน มันขี้หนูที่แก่จัดจะสังเกตได้จากใบเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซึ่งจะเป็นที่อายุ 7 ถึง 8 เดือน การใช้ประโยชน์ เดิมการใช้ประโยชน์มีเฉพาะการนำส่วนหัวมาต้มกินเล่น และใส่ในแกงเช่นเดียวกับการใช้มันเทศหรือมันฝรั่ง แต่มันขี้หนูมีคุณสมบัติพิเศษตรงที่ไม่ว่าจะต้มนานเท่าไรหรืออุ่นกี่ครั้งก็จะไม่เละ และหากเป็นการต้มกินเล่นหลังจากเคี้ยวกลืนไปแล้วทำให้เกิดความรู้สึกหวานในปาก
ปัจจุบันได้มีการศึกษาถึงการใช้ประโยชน์จากส่วนอื่นของมันขี้หนูในเบื้องต้นอยู่บ้าง เช่น การนำสารสกัดที่ได้จากส่วนเหนือดินไปใช้ในการควบคุมศัตรูพืช รวมถึงการใช้เป็นยาและอาหารเพื่อสุขภาพ แป้งมันขี้หนู มีปริมาณโปรตีนประมาณ 2-5 เปอร์เซ็นต์ อมิโลสต่ำ ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ ความหนืดแป้งสุกสูงสุดค่อนข้างต่ำ แป้งมีความนิ่มเหมาะจะทำอาหารประเภทกวน เปอร์เซ็นต์สตาร์ช ประมาณ 15-25 เปอร์เซ็นต์ การทดลองทำผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ เช่น เค้ก ทองม้วน บราวนี่ ได้โดยใช้แป้งมันขี้หนูแทนแป้งสาลีได้ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยที่คุณภาพไม่ต่างจากการใช้แป้งสาลี ผลผลิตและผลตอบแทน ผลผลิต 800-1,300 กิโลกรัมต่อไร่ ต้นทุนประมาณ 15,000 บาทต่อไร่ รายได้ 24,000-39,000 บาทต่อไร่
ต้นคล้า เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว จัดเป็นไม้ล้มลุก เจริญเติบโตเป็นพุ่มหรือเป็นกอ และมีอายุหลายปี ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง แตกออกเป็นข้อๆ และมีข้อปล้องยาว หากรวมทั้งลำต้นและใบจะมีความสูงประมาณ 3-5 เมตร มีเหง้าหรือหัวอยู่ใต้ดิน สามารถแตกหน่อได้ พรรณไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติในพื้นที่ชื้นแฉะตามริมคลองหรือตามลำธาร มีเขตการกระจายพันธุ์ตั้งแต่อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงปาปัวนิวกินี
ส่วนในประเทศไทยสามารถพบได้ทุกภาคพบมากทางภาคใต้ของประเทศ คล้า มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ เช่นทางภาคใต้ ภาคอีสานจะเรียก “คล้า” แต่ทางภาคเหนือจะเรียก “แหย่ง” คล้าเป็นพืชที่มีประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมมากมาย ในอดีตสมัยรุ่นปู่ย่าตายายชาวบ้านจะนิยมนำต้นคล้ามาใช้ทำเครื่องจักสานเพื่อใช้ในครัวเรือน เช่น นำมาสานเป็นเสื่อ กระติบข้าว ถาดใส่ของ ใช้แทนเชือกมัดของ หรือใช้เป็นวัสดุเย็บจากมุงหลังคา ใช้เป็นยารักษาโรค โดยใช้เหง้า หรือหัวซึ่งมีรสเย็นใช้กินเป็นยาแก้ไข้ รักษาอาการไข้ปอดบวม ไข้กาฬ ไข้จับสั่นไข้รากสาด ไข้หัด ช่วยรักษาอาการร้อนในกระหายน้ำ
ประโยชน์ทางอ้อมของต้นคล้ามีรายงานไว้ว่าในประเทศอินเดียปลูกต้นคล้าเพื่อลดการชะล้างพังทลายของดิน สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 8 กรมวิชาการเกษตร ได้สำรวจ รวบรวมและศึกษาในประเทศไทย ในเบื้องต้นพบว่าภาคใต้ตอนล่าง สงขลา พัทลุง สตูล ต้นคล้ามีการกระจายอยู่ตามธรรมชาติในหลายพื้นที่ แต่คนที่รู้จักและสามารถนำคล้ามาใช้ประโยชน์มีเพียงกลุ่มน้อย เช่น การสานเสื่อคล้า เสื่อที่ทำจากต้นคล้ามีความสวยงามเงาวาวตามธรรมชาติ พื้นผิวเสื่อเรียบให้ความรู้สึกเย็นสบายและมีความคงทน การใช้เป็นวัสดุในการเย็บจากมุงหลังคา ในภาคอีสานนิยมนำต้นคล้ามาจักสานเป็นกระติบข้าวเหนียวเพราะมีความทนทาน
“สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 8 ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของพืชท้องถิ่นภาคใต้ต่างๆ เหล่านี้ จึงได้มีการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ทางวิชาการแล้วนำมาซึ่งการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรที่สนใจ รวมถึงเป็นการอนุรักษ์พืชท้องถิ่นให้สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้” ผอ.สวพ.8 กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี