จากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการขับเคลื่อนการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) ให้เห็นเป็นรูปธรรมในพื้นที่ หน่วยงานต่างๆ ภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมกันบูรณาการจัดทำแผนปฏิบัติการในการขับเคลื่อนการบริหารพื้นที่เกษตรกรรมทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
นายสุรเดช เตียวตระกูล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า กรมพัฒนาที่ดิน เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) ประกอบด้วย 5 มาตรการหลักนั้น คือ 1.การเตรียมความพร้อมและประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ 2.กำหนดแนวโน้มความต้องการตลาดสินค้าเกษตร 3.กำหนดเขตพื้นที่เหมาะสมการผลิตสินค้าเกษตร 4.การขับเคลื่อนและส่งเสริมในระดับพื้นที่ และ 5.การติดตามประเมินผล ซึ่งมีเป้าประสงค์ในการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรตามความเหมาะสมของพื้นที่ให้เกิดความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
นายสุรเดช เตียวตระกูล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน
รวมถึงมีแนวคิดในการปฏิบัติ คือ ประการแรก ส่งเสริมการผลิตสินค้าในพื้นที่มีศักยภาพเหมาะสม (S1 และ S2) ประการที่สอง ปรับเปลี่ยนการผลิตสินค้าเกษตรในพื้นที่ไม่เหมาะสม (S3 และ N ) โดยในระหว่างปีงบประมาณ 2559 - 2560 นี้ ให้มีผลสำเร็จเบื้องต้นเกิดขึ้นที่ศูนย์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการเกษตร 882 ศูนย์ และบริเวณพื้นที่ส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ 76 แปลง โดยการขับเคลื่อนในระดับจังหวัดมอบหมายให้ทีมงานระดับจังหวัดที่เรียกว่า Single Command เป็นผู้รับผิดชอบประสานการปฏิบัติงานของหน่วยงานในระดับจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดโดยให้แต่ละจังหวัดรายงานผลการปฏิบัติงานเป็นรายเดือนเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 เป็นต้นมานั้น
ในขณะนี้ การขับเคลื่อนฯ ได้ดำเนินงานตามมาตรการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเตรียมความพร้อมและประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ โดยเฉพาะการสร้างการรับรู้ของเกษตรกรในพื้นที่รอบๆ หรือในตำบลที่ตั้งศูนย์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการเกษตร (ศพก.) จำนวน 882 ศูนย์ ซึ่งมีการชี้แจงให้เกษตรกรเห็นความสำคัญของการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม และรู้จักใช้ข้อมูลแผนที่ในพื้นที่ของตนเอง ครบทั้ง 882 ศูนย์ และมีเกษตรกรได้รับการชี้แจงกว่า 180,000 ราย มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความสำคัญ และประโยชน์ของการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมผ่านทาง Facebook (https://www.facebook.com/agrizoning) วิทยุชุมชน จดหมายข่าว และเว็บไซต์ของหน่วยงาน กว่า 1,500 ครั้ง ในส่วนของมาตรการที่สองสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้กำหนดแนวโน้มความต้องการสินค้าเกษตรพืชเศรษฐกิจทั้ง 13 ชนิด ที่สำคัญในปี 2559 คือ อ้อยโรงงาน มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน ข้าว ยางพารา มะพร้าว กาแฟ สับปะรด เงาะ ทุเรียน ลำไย และมังคุด ทำให้ทราบว่าพืชแต่ละชนิดมีความต้องการใช้ในประเทศปริมาณเท่าใด การส่งออกมีปริมาณมากน้อยเพียงใด
มาตรการที่สาม กรมพัฒนาที่ดิน ได้ดำเนินการจัดทำแผนที่เขตความเหมาะสมของที่ดินสำหรับการผลิตสินค้าเกษตรสำหรับพืชเศรษฐกิจ 6 ชนิดรายชนิดพืช ในระดับประเทศระดับจังหวัด และระดับอำเภอ และทำการส่งมอบข้อมูลแผนที่ดังกล่าว ให้แก่ศูนย์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการเกษตรนำไปใช้เป็นข้อมูลในการขับเคลื่อนและส่งเสริมในระดับพื้นที่ ครบทั้ง 882 ศูนย์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ในส่วนภูมิภาคของหน่วยงานภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำโดย กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร ได้มีการดำเนินการขับเคลื่อนการปฏิบัติ และส่งเสริมในพื้นที่เขตเหมาะสม (S1 และ S2) มีการอบรมให้เกษตรกรสามารถดูและใช้แผนที่ความเหมาะสมของที่ดินสำหรับพืชเศรษฐกิจในพื้นที่ของตนเอง ว่าพื้นที่ของตนนั้นมีความเหมาะสมในระดับใด หรือไม่เหมาะสมกับพืชชนิดใด หากมีความเหมาะสมแล้วจะต้องทำการเพิ่มศักยภาพในการผลิตแบบไหนเพื่อลดต้นทุนในการผลิต หากไม่เหมาะสมจะต้องปรับเปลี่ยนพื้นที่ไปทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้เกษตรกรเป็นเกษตรกรที่มีความ smart หรือ เป็น smart farmer นั่นเอง
นายสุรเดชกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังให้เกษตรกรได้ดูงานความสำเร็จของการปลูกพืชในเขตเหมาะสม ผ่านทางศูนย์เรียนรู้ฯ(ศพก.) ที่เป็นต้นแบบที่อยู่ในจังหวัดทั้งนี้ได้มีการอบรมให้แก่เกษตรกรไปแล้วจำนวน 400 กว่าศูนย์ มีเกษตรกรเข้ารับการอบรมจำนวนกว่า 90,000 รายในส่วนของการขับเคลื่อนการปฏิบัติและส่งเสริมในพื้นที่ที่ทำการผลิตไม่เหมาะสม (S3 และ N)
หรือ การปรับโครงสร้างการผลิต ได้ดำเนินการประชุม ชี้แจง ถึงผลกระทบจากการทำเกษตรกรรมในพื้นที่ไม่เหมาะสม และเสนอทางเลือกการผลิตในรูปแบบต่างๆ ทดแทน ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่นั้นๆไปแล้ว จำนวน 231 ศูนย์ มีเกษตรกรเข้าร่วมการชี้แจงกว่า 64,000 ราย มีจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ จำนวน 475 ราย ใน 17 จังหวัด เช่น เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ปรับเปลี่ยนนาข้าวเป็นพื้นที่ปลูกหญ้ารูซี่ เพื่อใช้ในการเลี้ยงแพะ เกษตรกรในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จันทบุรี สกลนคร ปรับเปลี่ยนจากนาข้าวเป็นปลูกหญ้าเนเปียร์ เกษตรกรในจังหวัดราชบุรี ปรับเปลี่ยนจากการปลูกข้าวเป็นเกษตรกรรมทางเลือก เกษตรกรในจังหวัดอุทัยธานี ปรับเปลี่ยนจากการปลูกอ้อย มันสำปะหลัง ข้าว เป็นเกษตรแบบผสมผสาน เป็นต้น
“การปรับเปลี่ยนพื้นที่ดังกล่าว ได้มีการสนับสนุนปัจจัยการผลิตด้านต่างๆ ให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการปรับเปลี่ยนด้วย ไม่ว่าจะเป็นสระเก็บน้ำในไร่นา วัสดุปรับปรุงดินอย่างไรก็ตามหน่วยงานต่างๆ ภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยการนำของกรมพัฒนาที่ดิน ได้ระดมสรรพกำลังอย่างเต็มที่ เพื่อให้การขับเคลื่อนการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมในระดับพื้นที่เป็นรูปธรรมที่เด่นชัดขึ้น ซึ่งเห็นได้จากการที่เกษตรกรเริ่มเกิดการยอมรับในการปรับเปลี่ยนพื้นที่เกษตรที่ไม่เหมาะสม หันมาผลิตสินค้าเกษตรชนิดอื่นที่มีความเหมาะสมมากกว่า และเป็นที่ต้องการของตลาด แม้ว่าวันนี้เกษตรกรที่เริ่มปรับเปลี่ยนยังมีจำนวนไม่มากนัก แต่คาดว่าต่อจากนี้ไปหากทุกหน่วยงานร่วมแรงร่วมใจในการขับเคลื่อนฯ คาดว่าจะเกิดผลสำเร็จเบื้องต้นในพื้นที่ศูนย์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการเกษตร 882 ศูนย์ ภายในปี 2560 นี้อย่างแน่นอน” อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี