เครือเบทาโกร เป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำของประเทศที่ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่อาหารสัตว์ ปศุสัตว์ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพสัตว์ และผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพเพื่อการส่งออกและจำหน่ายในประเทศ
มุ่งผลิตและพัฒนาอาหารที่มีคุณภาพสูงและปลอดภัย จากฐานอุตสาหกรรมการเกษตรที่ทันสมัยเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากรโลก ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างหลากหลาย ภายใต้แนวคิด “เพื่อคุณภาพชีวิต” (Quality for Life) ที่สำคัญ เบทาโกร เป็นบริษัทของคนไทยที่ได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพจากบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ ทำให้เกิดการร่วมลงทุนในการผลิตและพัฒนาคุณภาพอาหารปลอดภัย เพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ อาทิ ญี่ปุ่น อังกฤษ ฮ่องกง ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย และยุโรป โดยผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2559 เป็นไปตามเป้าชูกลยุทธ์ขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจในสุขภาพ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ด้วยการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ลงทุนระบบ ERP เต็มรูปแบบ และสร้างศูนย์นวัตกรรมอาหารอย่างเป็นรูปธรรม
ดร.ณรงค์ชัย ศรีสันติแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร สายงานปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจอาหาร เครือเบทาโกร เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2559 เครือเบทาโกร มีรายได้รวม 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม 8,000 ล้านบาท และรายได้ในธุรกิจอาหาร 17,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมีเป้ายอดขายรวมในปี 2559 อยู่ที่ 100,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ในประเทศ 85,000 ล้านบาท และต่างประเทศ 15,000 ล้านบาท โดยมีอัตราเติบโต 8% ถือว่าเป็นอัตราที่เติบโตน้อยกว่าปกติโตเฉลี่ยปีละ 12 -14% ผลจากราคาน้ำมันต่ำลงกระทบต่อราคาปศุสัตว์โดยรวมไม่ดีนัก
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจอาหารของเบทาโกรในปี 2559 นี้ มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจในสุขภาพ และตอบสนองคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย แต่ยังให้ความใส่ใจเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร รวมทั้งรสชาติความอร่อย พร้อมทั้งการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์คุณภาพได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยในปีนี้ แบรนด์ BETAGRO จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มสินค้าไส้กรอกไขมันต่ำ (BETAGRO Low Fat Sausage) ให้มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ในกลุ่ม Reduce, Plus, Free เตรียมจำหน่ายอีกมากกว่า 10 รายการ และพัฒนาสินค้าพร้อมปรุง พร้อมรับประทาน (Ready to Cook / Ready to Eat) อีกมากกว่า 100 รายการ ด้านการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่าย มุ่งขยายแผงอนามัยเนื้อหมู เนื้อไก่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และเพิ่มการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกช่องทางทั้งในกลุ่ม Modern Trade กลุ่ม Food Service (HORECA) และ Traditional Trade
ด้าน แบรนด์ S-Pure มีการขยายช่องทางนำร่องอาหารสุขภาพสู่โรงพยาบาล โดยเริ่มแห่งแรกที่ ศูนย์ตรวจสุขภาพ โรงพยาบาลรพ.สมิติเวช สุขุมวิท เริ่มขยายการขายสินค้า S-Pure ไปยังภูมิภาค ทั้งในกลุ่ม Food Service เช่น ร้านอาหาร โรงแรม ในเมืองใหญ่ๆ อาทิ สมุย หาดใหญ่ เชียงใหม่ ขอนแก่น ปากช่อง เป็นต้น รวมถึงการขายในร้านเบทาโกร ช็อป ทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ด้านตลาดส่งออก เพิ่มสัดส่วนการขายสินค้า Own Brand ทั้ง S-Pure และ BETAGRO ให้มากขึ้นในช่องทางขายส่งและค้าปลีก และนำทั้งสองแบรนด์เข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่สำคัญในประเทศต่างๆ ซึ่งรายได้ที่สูงทำสถิติในปีนี้เพราะได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ จากเคยแบ่งเป็น 4 -5 กลุ่มธุรกิจ เหลือเพียง 2 กลุ่มใหญ่ คือ ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และกลุ่มธุรกิจอาหาร อีกทั้งผลจากการลงทุนเพิ่มอีก 5-6 พันล้านบาท ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน จะมีการออกสินค้าใหม่อีก 50 ชนิดในปีนี้ เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ และ คนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย เพิ่มช่องทางการขายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยขณะนี้มี Betagro shop ทั่วประเทศ 150 แห่ง จะเพิ่มเป็น 170 แห่งทั่วประเทศ
“เพื่อให้แผนการดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุ ตามเป้าหมายขององค์กรที่ตั้งไว้ เครือเบทาโกรได้มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาครั้งสำคัญ โดยปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม (Agro Business) และกลุ่มธุรกิจอาหาร (Food Business) 2 กลุ่มใหญ่ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น และได้ลงทุนในระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานและเชื่อมโยงระบบงานต่างๆ ขององค์กรเข้าด้วยกัน ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเบทาโกร นอกจากนี้ ยังก่อตั้งศูนย์นวัตกรรมอาหาร (Food Innovation center) เพื่อเป็นศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ ทั้งในส่วนของตัวสินค้าใหม่และบรรจุภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ ให้ตรงกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาองค์ความรู้ การให้ข้อมูลเชิงเทคนิค ตลอดจนการแก้ไขปัญหา ให้กับลูกค้าในกลุ่มธุรกิจอาหารอีกด้วย” ดร.ณรงค์ชัย กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี