อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่ปลูก 4,018,989 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 44,914,001ตัน ผลผลิตเฉลี่ย 11.18 ตันต่อไร่ แต่ด้วยปัญหาการระบาดของศัตรูพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคใบขาวอ้อยที่ระบาดรุนแรงมาตั้งแต่ปี 2533 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ได้สร้างผลกระทบต่อเกษตรกรชาวไร่อ้อยพื้นที่ภาคอีสานคิดเป็นมูลค่าความเสียหายนับพันล้านบาท
ดร.นฤทัย วรสถิตย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการผลิตพืชที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า โรคใบขาวอ้อย นับเป็นอุปสรรคสำคัญของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบการระบาดในหลายจังหวัดที่เป็นแหล่งปลูกสำคัญ เช่น ขอนแก่น บุรีรัมย์ นครราชสีมา และอุดรธานี มาตั้งแต่ปี 2533 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โรคใบขาวอ้อย มีเชื้อไฟโตพลาสมาเป็นเชื้อสาเหตุ และมีเพลี้ยจักจั่น เป็นแมลงพาหะนำโรค ต้นอ้อยที่เป็นโรคจะมีใบสีขาวหรือเขียวอ่อน หรือขาวสลับเขียวอ่อน เนื่องจากคลอโรฟิลล์ถูกทำลาย อ้อยแตกกอเป็นพุ่มฝอยคล้ายกอหญ้า ไม่เจริญเติบโตและตายไปในที่สุด
ดร.นฤทัย วรสถิตย์
สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 และศูนย์วิจัยต่างๆ ในพื้นที่ ได้เข้าไปแก้ไขปัญหา โดยจัดทำโครงการนำร่องเพื่อแก้ปัญหาโรคใบขาวอ้อย ภายใต้โครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ ของกรมวิชาการเกษตร เริ่มจากการนำอ้อยพันธุ์ดี ได้แก่ พันธุ์ขอนแก่น 3 ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อยอดอ่อน ปลอดจากการติดเชื้อสาเหตุโรคใบขาว และโรคที่สำคัญอื่นๆ ผลิตเป็นพันธุ์สะอาดโดยการปลูกเป็นแปลงพันธุ์และเป็นแปลงเรียนรู้ในศูนย์วิจัย นำต้นอ้อยที่ได้ไปให้เกษตรกรปลูกหรือมีการขยายเพิ่มปริมาณโดยการตัดชำข้อปลูกเป็นต้นพันธุ์ก่อนจะกระจายให้เกษตรกรนำไปปลูกเป็นแปลงพันธุ์ ในแปลงที่มีการกำจัดต้นอ้อยเป็นโรคและเศษซากออกจากแปลง ใส่ปุ๋ยและดูแลรักษาตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร และหมั่นตรวจแปลงเพื่อเฝ้าระวังการเกิดโรค เกษตรกรจะได้พันธุ์อ้อยที่สมบูรณ์แข็งแรง และเรียนรู้การดูแลรักษาและเตรียมแปลงพันธุ์ไว้ใช้เอง ก่อนจะนำท่อนพันธุ์เหล่านี้ไปปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตส่งโรงงานต่อไป
ในอนาคต เมื่อพันธุ์อ้อยที่ผลิตและดูแลจัดการอย่างดี และเป็นพันธุ์สะอาด กระจายอยู่ในศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจังหวัดต่างๆ ของกรมวิชาการเกษตร ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งในแปลงเกษตรกรที่เป็นเกษตรกรต้นแบบ จะทำให้มีพันธุ์อ้อยพันธุ์ดีและมีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เกษตรกรนำไปปลูกเป็นแปลงพันธุ์ใช้เอง และติดต่อซื้อพันธุ์สะอาดจากหน่วยงานของกรม ไปใช้ใหม่ทุกๆ 3-4 ปี หากดำเนินการได้ตามนี้จะไม่เกิดการสะสมของโรคในแปลง ปัญหาการระบาดและความเสียหายจากโรคใบขาวก็จะลดลงได้
ผลการดำเนินงานในพื้นที่ 13 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งแต่ปี 2555/56 จนถึงปัจจุบัน สามารถผลิตต้นกล้าอ้อยสะอาดแจกจ่ายให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจังหวัดต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ นำไปปลูกเป็นแปลงพันธุ์และแปลงเรียนรู้ คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 120 ไร่เกษตรกรนำไปปลูกเป็นแปลงพันธุ์ต้นแบบรวม 435 ไร่ และผลิตต้นอ้อยชำข้อกระจายให้เกษตรกรรายอื่นๆ ในพื้นที่รวม2,600,000 ต้น ทั้งนี้พบว่าต้นอ้อยจากแปลงเรียนรู้และแปลงต้นแบบไม่เป็นโรคใบขาว ยกเว้นในบางพื้นที่ และบางแปลงที่เกษตรกรปลูกอ้อยในบริเวณที่ยังมีโรคระบาดรุนแรง อ้อยตอจะแสดงอาการของโรคใบขาวแต่พบในปริมาณน้อยมาก (น้อยกว่า 1%)และให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงถึง 15-18 ตัน/ไร่
ตัวอย่างหนึ่งที่พิสูจน์ผลสำเร็จของโครงการ คือ การดำเนินงานของศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรอุดรธานี ซึ่งนายอมฤต วงษ์ศิริ นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ได้ให้ข้อมูลว่าจังหวัดอุดรธานีมีพื้นที่ปลูกอ้อยมากเป็นอันดับ 1 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในฤดูปลูกปี 2557/58 มีพื้นที่ปลูก685,528 ไร่ แต่มีปัญหาการระบาดของโรคใบขาวเช่นเดียวกันกับแหล่งปลูกอ้อยอื่นทำให้เกษตรกรหันไปปลูกพืชอื่นทดแทน ก่อให้เกิดปัญหาต่ออุตสาหกรรมการผลิตอ้อยและน้ำตาลทราย เนื่องจากจังหวัดอุดรธานีมีโรงงานน้ำตาลทรายขนาดใหญ่4 โรงงานและโรงงานน้ำตาลขนาดเล็กที่ผลิตน้ำตาลทรายแดง 1 โรงงาน
ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรอุดรธานีได้นำต้นอ้อยจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ พันธุ์ขอนแก่น 3 จากศูนย์วิจัยพืชไร่ขอนแก่นและศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรขอนแก่นมาปลูกในศูนย์ฯพื้นที่ 1 ไร่ ใช้ต้นกล้า 1,800-2,000 ต้น เมื่อเก็บเกี่ยวและนำมาตัดชำข้อแล้วนำไปให้เกษตรปลูกจะปลูกได้พื้นที่ 50-100 ไร่ การผลิตอ้อยพันธุ์สะอาดโดยวิธีนี้ อ้อยมีการแตกกอดีมาก ถ้าเกษตรกรดูแลรักษาดีตามคำแนะนำ เกษตรกรจะได้อ้อยพันธุ์สะอาดนำไปขยายพันธุ์ต่อได้ 10-15 ไร่ จากแปลงพันธุ์ 1 ไร่แม้ว่าต้นทุนการผลิตของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและผลิตพันธุ์สะอาดให้แก่เกษตรกรจะสูง เพราะมีการดูแลรักษาอย่างดี ตามหลักวิชาการเพื่อให้ได้ต้นอ้อยที่สมบูรณ์ มีอาหารสะสมในลำต้นอย่างเพียงพอ ทำให้มีจำนวนลำมาก 12,000-15,000 ลำต่อไร่ เมื่ออ้อยอายุได้ 10 เดือน ตัดท่อนพันธุ์อ้อยแล้วนำไปหั่นข้อ ข้อละ 1 ตา นำไปปักชำในวัสดุเพาะ เมื่ออ้อยอายุ 60 วัน สามารถนำไปปลูกเพื่อขยายพันธุ์ต่อไปได้
ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรอุดรธานี ได้เริ่มดำเนินการโครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2554 ในลักษณะของการทดสอบเทคโนโลยีกับเกษตรกรกลุ่มแรกที่บ้านหินฮาว ต.เวียงคำ อ.กุมภวาปีจ.อุดรธานี จำนวน 5 ราย โดยนำเกษตรกรเข้าอบรมหลักสูตรการผลิตพันธุ์อ้อยสะอาด สร้างความรู้ ความเข้าใจการดูแลรักษาตามหลักวิชาการ และมีการกำจัดต้นเป็นโรคทิ้งตั้งแต่อายุ 3-4 และ 6 เดือน จนได้แปลงพันธุ์อ้อยที่สะอาดและแข็งแรงไว้สำหรับทำพันธุ์ ทั้งนี้ มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ดังกล่าวมาจนถึงปัจจุบันโดยนำอ้อยชำข้อที่มาจากพันธุ์สะอาดไปให้เกษตรกรปลูกเพื่อลดการระบาดของโรคใบขาวในพื้นที่ โดยร่วมมือกับเกษตรกร ให้เกษตรกรปฏิบัติเองโดยมีนักวิชาการเป็นผู้ให้คำแนะนำ รวมแล้วมากกว่า 150 ราย เกษตรกรที่ประสบความสำเร็จ เช่น นายสมศักดิ์ เภาพาน ได้นำอ้อยไปปลูกในพื้นที่1ไร่ ขยายพันธุ์ได้10 ไร่ และกระจายพันธุ์ให้เกษตรกรอื่นอีก 7 ไร่ มีความพอใจกับเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก ปัจจุบันเกษตรกรในพื้นที่มีความต้องการอ้อยพันธุ์สะอาดอีกมาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรอุดรธานีให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรรายย่อยซึ่งเข้าถึงเงินทุนและเทคโนโลยีได้ยากและพยายามปลูกฝังความรู้และจิตสำนึกในการตระหนักถึงภัยจากโรคใบขาวอ้อย และกระตุ้นให้เกษตรกรร่วมมือกัน จึงจะประสบความสำเร็จ ทำให้การปลูกอ้อยในพื้นที่ได้ผลผลิตดี คุ้มค่าต่อการลงทุนและทำให้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลยั่งยืนต่อไป
หากเกษตรกรประสบปัญหา หรือต้องการคำแนะนำสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรอุดรธานี หรือศูนย์วิจัยฯในพื้นที่ได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี