30 มิ.ย.59 การสัมมนาเพื่อส่งเสริมกระบวนการจัดหางานและจ้างงานที่เป็นธรรมในการนำเข้าแรงงานเวียดนามเข้ามาทำงานในประเทศไทย จัดโดยสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย ร่วมกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ที่โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.59 ที่ผ่านมา
นายสุเมธ มโหสถ รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การสัมมนาครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างนายจ้างไทยกับแรงงานเวียดนาม เพื่อให้เข้าใจกระบวนการจัดหางานและจ้างแรงงาน และสร้างความเป็นธรรมให้ทุกฝ่าย เพื่อให้สามารถจัดการด้านแรงงานได้ตามมาตรฐานสากล สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ที่ดีให้ประเทศไทยในฐานะนายจ้าง โดยทำตามข้อตกลงร่วมระหว่างไทยกับเวียดนาม
"การที่จะได้แรงงานต่างด้าวที่มีคุณภาพมีปัจจัยหลายอย่าง เช่น กระบวนการนำเข้าและจ้างงานต้องตามถูกกฎหมาย สภาพการทำงาน สิทธิและสวัสดิการถูกต้องตามกฎหมาย เหล่านี้ คือนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและเพิ่มการเข้าถึงบริการของรัฐ เพื่อสร้างโอกาสในอาชีพและการมีรายได้ที่สมเหตุสมผลกับคนงานทุกคนไม่ว่าจะเป็นไทยหรือแรงงานต่างชาติ การทำเช่นนี้ ถือเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ที่เป็นรูปธรรมด้วย"
นายสุเมธ กล่าวด้วยว่า การคุ้มครองแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ ต้องเน้นการบริหารจัดการ การกำหนดมาตรฐานการจ้าง การป้องกันการลักลอบทำงาน การบังคับใช้กฎหมาย การปรับระบบฐานข้อมูล การประชาสัมพันธ์ และสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อให้แรงงานต่างด้าวทำงานถูกกฎหมาย พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกให้นายจ้าง และแรงงานเข้าถึงการบริการได้สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส มีมาตรฐานสากล ตรวจสอบได้ และทั่วถึง
นายอารักษ์ พรหมณี อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ปัจจุบันยังมีปัญหาแรงงานเวียดนามลักลอบเข้ามาทำงานในไทย ซึ่งแรงงานที่เข้ามานั้น ส่วนหนึ่งก็ไม่สามารถทำงานได้ เพราะผิดกฎหมายแรงงาน ดังนั้น ควรมีการทำบันทึกความเข้าใจร่วมกันระหว่างไทยกับเวียดนาม เพื่อให้ทราบว่า นายจ้างต้องการแรงงานประเภทใด อันจะทำให้สามารถหาแรงงานได้ตรงตามความต้องการ หากทำข้อตกลงร่วมกันได้ ก็ถือเป็นโครงการนำร่องการนำเข้าแรงงานถูกกฎหมายตามหลักการสากล ความจริง คือแรงงานเวียดนาม ไม่ต้องการเข้ามาทำงานก่อสร้างอาคารบ้านเรือนหรืออาคารสูงในไทย เพราะในเวียดนามมีงานด้านนี้รองรับอยู่แล้ว นายจ้างไทยคาดหวังว่า จะมีแรงงานเวียดนามเข้ามาทำงานด้านประมง ซึ่งทางเราก็ต้องฝึกอบรมให้เขาก่อนลงมือทำงาน และเจรจาเรื่องผลประโยชน์และค่าตอบแทนให้ชัดเจน คาดว่าในเดือนกันยายนนี้น่าจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม
นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในฐานะสมาชิกองค์การนายจ้างระหว่างประเทศ และตัวแทนภาคีฝ่ายนายจ้างของประเทศไทย ที่ทำงานร่วมกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) การที่ไทยกับเวียดนามมีข้อตกลงร่วมกันในเรื่องแรงงานโดยเฉพาะในสาขาประมง และก่อสร้างถือเป็นเรื่องดี แต่ข้อตกลงร่วมนี้ เพิ่งจะเริ่มขึ้น ซึ่งในขั้นการปฏิบัติจริง อาจจะยังไม่สามารถแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในไทยได้ทั้งหมด จึงอยากขอรับการสนับสนุนจาก ILO และองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติของนายจ้าง นอกจากนี้ เราจะนำประเด็นความต้องการแท้จริงของทั้งฝ่ายนายจ้าง และแรงงานมาพิจารณาให้ถี่ถ้วน และต้องดูด้วยว่า กฎหมายไทยอนุญาตให้แรงงานเวียดนามเข้ามาทำงานอื่นๆ นอกเหนือจากประมงกับก่อสร้างได้อีกหรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริงในประเทศไทย มีแรงงานเวียดนามจำนวนมาก เข้ามาทำงานในภาคบริการ ดังนั้น จึงต้องทำเรื่องนี้ให้ถูกต้องเพื่อผลประโยชน์ของทุกฝ่าย อันจะทำให้แรงงานไม่ถูกเอาเปรียบ ส่วนผู้ประกอบการ ก็ได้คนงานที่เหมาะสม เราต้องยอมรับว่า แรงงานเวียดนามที่มีทักษะนั้นมีมาก ดังนั้น เราจึงต้องพิจารณาเรื่องนี้ให้ดี
นายแม๊กซ์ ทูนอน (Max Tunon) ผู้แทนองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) กล่าวว่า การนำเข้าแรงงานต่างชาติในไทย โดยเฉพาะจากพม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในไทยในขณะนี้ แต่ไม่มีใครสามารถระบุได้ว่า ในความเป็นจริงไทยต้องการแรงงานจำนวนเท่าไร และต้องการแรงงานในสาขาใดบ้าง อย่าลืมว่า จำนวนแรงงาน คือปัจจัยสำคัญในการกำหนดแนวพัฒนานโยบายแรงงานที่ถูกต้องของในแต่ภาคส่วน การลงนามข้อตกลงร่วมกันระหว่างไทยกับเวียดนามเพื่อทำกรอบการนำเข้าแรงงานทำให้เกิดเวทีการหารือร่วมระหว่างคนที่เกี่ยวข้อง เช่น นายจ้าง ลูกจ้าง และภาครัฐ ทั้งนี้ ILO เห็นว่า การที่สภาองค์การนายจ้างเข้ามาให้ความสนใจกับเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องดี เพราะจะช่วยให้มีกรอบที่ชัดขึ้น และมีข้อมูลที่แม่นยำ อันจะทำให้เกิดผลดีในการภาคปฏิบัติ การหารือทำให้ทุกฝ่ายได้คุยกัน ได้รู้ถึงความต้องการของนายจ้างและแรงงาน และรู้ด้วยว่าแรงงานเข้ามาโดยถูกหรือผิดกฎหมาย
นายแม๊กซ์ เสนอว่า ไทยควรจะทำนโยบายทำค่าใช้จ่ายสำหรับแรงงานเป็นศูนย์ (Zero Fee) เรื่องนี้ค่อนข้างท้าทายมาก แต่ภายใต้อนุสัญญาแรงงานระหว่างประเทศพบว่า มีกว่า 32 ประเทศได้ลงสัตยาบรรณในเรื่องนี้แล้ว เช่น ประเทศซาอุดีอารเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรต และอีกหลาย ๆ ประเทศ เรื่องนี้ ทั้งภาครัฐและเอกชน ต้องร่วมมือกันเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับแรงงาน ขอเสนอให้ไทยริเริ่มในเรื่องนี้ โดยเฉพาะภาค อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปสัตว์ทะเล และอุตสาหกรรมอีเลกทรอนิกส์ ถ้าหากอุตสากรรมเหล่านี้ทำได้สำเร็จ แรงงานก็จะไหลไปสู่ตลาดอุตสาหกรรมนี้โดยอัตโนมัติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี