วันอาทิตย์ ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2568
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทำแผนที่ Agri-Map ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงแผนที่สำหรับริหารจัดการเกษตรไทย โดยข้อมูลที่นำเข้าจะประกอบด้วย ข้อมูลด้านการเกษตร และด้านการพาณิชย์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา โดยการวิเคราะห์จำเป็นต้องคำนึงถึงสมดุลของทัพยากรการผลิต (ดิน น้ำ พืช) ผลผลิต อุปสงค์ และ อุปทานรวมทั้งปัจจัยการผลิต จึงจะทำให้สามารถบริหารจัดการสินค้าเกษตรได้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสามารถคาดการณ์ในอนาคตได้ โดยเฉพาะหากเกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนการปลูกพืชที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์นั้นๆ
ปัจจุบันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทำ Agri-Map ครบทุกจังหวัดแล้ว และได้ปฏิบัติการขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนกิจกรรมการผลิตในพื้นที่ไม่เหมาะสม ซึ่งคัดเลือกพื้นที่นำร่อง 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชัยภูมิ บุรีรัมย์ และอุทัยธานี โดยได้ดำเนินงาน ที่จังหวัดชัยภูมิเป็นจังหวัดแรก เพื่อเป็นต้นแบบการดำเนินงาน โดยมีพลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดปฏิบัติการฯ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา ณ องค์การบริหารส่วนตำบลชีบน อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ ซึ่งในส่วนของกรมปศุสัตว์นั้น ได้จัดทำโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงกระบือ (ภายใต้โครงการธนาคารโค-กระบือ เพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริ) ซึ่งเป็นไปตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ต้องการให้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกพืชที่ไม่เหมาะสมตามแผนที่ Agri-Map เพื่อส่งเสริมอาชีพอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า
.jpg)
ไพโรจน์ เฮงแสงชัย
น.สพ.ไพโรจน์ เฮงแสงชัย รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่ากรมปศุสัตว์ดำเนินสนองนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืชตามแผนที่ Agri-Map มาทำอาชีพอื่นที่เหมาะสมกว่า โดยร่วมกับธนาคารโค-กระบือ จัดทำโครงการส่งเสริมการเลี้ยงกระบือ (ภายใต้โครงการธนาคารโค-กระบือ เพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริ) มีพื้นที่ดำเนินการนำร่อง 7 จังหวัด (นครราชสีมา ชัยภูมิ สุรินทร์ อุบลราชธานี บุรีรัมย์ อำนาจเจริญและอุทัยธานี) เป้าหมายเกษตรกร 280 ราย เลี้ยงกระบือรายละไม่ต่ำกว่า 5 แม่ รวมจำนวน 1,400 ตัว
สำหรับการปรับเปลี่ยนกิจกรรมการผลิตในพื้นที่ไม่เหมาะสมตามแผนที่ Agri-Map ที่จังหวัดชัยภูมิ พบว่าเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการได้ทำการปรับเปลี่ยนกิจกรรมได้แก่ การปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกพืชที่ไม่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงกระบือ (ภายใต้โครงการธนาคารโคกระบือเพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ) โดยมีเกษตรกรจากอำเภอบ้านเขว้า อำเภอคอนสวรรค์ อำเภอบ้านแท่น และอำเภอหนองบัวระเหวเข้าร่วมโครงการ จำนวน 90 ราย จำนวนกระบือ 450 ตัว
เกษตรกรจะได้รับกระบือเพศเมียไปรายละ 5 ตัว โดยมีเงื่อนไขว่าภายใน 5 ปี เกษตรกรที่รับกระบือไปจะต้องคืนกระบือเพศเมียให้กับโครงการ จำนวน 5 ตัว เพื่อนำไปมอบให้กับเกษตรกรรายอื่นๆ ต่อไป ซึ่งพื้นที่จังหวัดชัยภูมิมีความเหมาะสมทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม เนื่องจากเกษตรกรประกอบอาชีพด้านปศุสัตว์โดยดังเดิม ทำให้มีตลาดรองรับอยู่แล้ว พร้อมกันนี้ ยังส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมมาปลูกหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 เพื่อเป็นพืชอาหารสัตว์ อย่างน้อยรายละ 5 ไร่ ซึ่งจะลดปัญหาการขาดแคลนพืชอาหารจากธรรมชาติ ที่มีพื้นที่ลดลงเรื่อยๆ
“กรมปศุสัตว์มั่นใจว่า เกษตรกรที่ปรับเปลี่ยนมาเลี้ยงกระบือจะมีความมั่นคงในอาชีพ เกษตรกรจะมีรายได้จากการขายกระบือไม่ต่ำกว่าปีละ 200,000 บาทแน่นอน เพราะความต้องการบริโภคยังมีต่อเนื่องและไม่เพียงพอ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และยังจะมีรายได้เสริมจากการจำหน่ายมูลกระบืออีกด้วย ในขณะที่จำนวนกระบือที่ได้รับไป 5 ตัวก็จะเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี”รองอธิบดี กรมปศุสัตว์ กล่าว
.jpg)
สัมฤทธิ์ ยนต์ชัย
ด้านนายสัมฤทธิ์ ยนต์ชัย ประธานศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือ บ้านหนองกระทุ่ม ต.ชีบน อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ เปิดเผยว่า เดิมมีอาชีพทำนา แต่ได้ผลผลิตไม่แน่นอน เพราะต้องอาศัยปัจจัยจากธรรมชาติ บางปีน้ำท่วม บางปีฝนแล้ง ขณะที่ทำนาก็เลี้ยงกระบือเสริมกันไปด้วย แต่ช่วงแรกๆ ยังเลี้ยงแบบชาวบ้านทั่วไป ต้องไล่ต้อนกระบือไปกินหญ้าตามพื้นที่เลี้ยงสัตว์ในธรรมชาติ ซึ่งบางครั้งต้องประสบปัญหาขาดแคลนอาหารสัตว์ จนกระทั่งสำนักงานปศุสัตว์เข้ามาให้คำแนะนำเพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกพืชที่ไม่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงกระบือพร้อมกับส่งเสริมให้ปลูกหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 เพื่อเป็นพืชอาหารสัตว์เลี้ยงกระบือ จึงเลิกทำนาแล้วหันมาเลี้ยงกระบืออย่างจริงจัง
พร้อมกับแนะนำให้วางรูปแบบฟาร์มให้เป็นระบบในพื้นที่ฟาร์มทั้งหมด 21 ไร่ โดยขุดขยายบ่อกักเก็บน้ำพื้นที่ 5 ไร่ แล้วนำดินมาถมเป็นคันกั้นน้ำป้องกันน้ำท่วมและปรับพื้นที่เพื่อปลูกหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 จำนวน 18 ไร่ สร้างโรงเรือนเลี้ยงกระบือ 2 หลัง แบ่งเป็นโรงพักสัตว์ขนาด 16x30 เมตร 1 หลัง และโรงพักคลอดขนาด 16x16 เมตร 1 หลัง ทำให้ปัจจุบันไม่ต้องต้อนกระบือไปกินหญ้าไกลๆ เพราะมีพืชอาหารสัตว์เพียงพอต่อการเลี้ยงกระบือทั้ง 41 ตัว ซึ่งจากการที่เลี้ยงกระบือเป็นระบบ ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง มีพืชอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพให้กระบือกิน การเจริญเติบโตสมบูรณ์ดี ขายได้ราคา
“ปีนี้ผมสามารถขายควายไปแล้ว 5 ตัว ได้เงินมา 200,000 กว่าบาท ขายทีได้เงินเป็นแสนๆ เพราะควายสมบูรณ์ จึงได้ราคาตัวละ 40,000-50,000 บาท และยังมีรายได้จากการจำหน่ายมูลกระบือตากแห้งอีกกว่า 50,000 บาท ทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ต้องเสี่ยงกับการทำนาที่ได้ผลไม่แน่นอนเพราะพื้นที่ไม่เหมาะสมอีกต่อไป ผมเคยทำนา แต่ไม่ค่อยได้ผล เพราะต้องอาศัยฟ้าฝน น้ำท่วมเสียหาย เลยหันมาเลี้ยงควาย และปลูกหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 ดีกว่า ได้เงินทีเป็นแสน ตอนนี้ก็เท่ากับควายเลี้ยงผม” นายสัมฤทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย
สัมฤทธิ์ ยนต์ชัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี