วันอาทิตย์ ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2568
การเลี้ยงโคเนื้อ เป็นอาชีพที่มีความสำคัญในการเกษตรของไทย มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 6.5 หมื่นล้านบาทต่อปี และเกี่ยวข้องกับเกษตรกรไม่น้อยกว่า 1.03 ล้านครอบครัว กรมปศุสัตว์ มีนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อ โดยหวังจะให้การเลี้ยงโคเนื้อ เป็นอาชีพที่ทำรายได้ให้เกษตรกรอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการยกระดับการเลี้ยงโคเนื้อของเกษตรกรให้มีประสิทธิภาพการผลิตดีเพื่อขายได้ราคา โดยส่งเสริมควบคู่กันทั้งการเลี้ยงโคพันธุ์ลูกผสมพื้นเมืองเพื่อจำหน่ายในตลาดระดับล่างและกลาง รวมถึงการเลี้ยงโคลูกผสมพันธุ์ต่างประเทศเพื่อป้อนตลาดเนื้อคุณภาพสูง
น.สพ.ไพโรจน์ เฮงแสงชัย รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า จากการสำรวจของกรมปศุสัตว์พบว่า ปัจจุบันมีโคเนื้ออยู่ในระบบประมาณ 4,700,000 ตัว ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค ยังขาดโคแม่พันธุ์สำหรับเพิ่มปริมาณโคในประเทศอีกประมาณ 300,000 ตัว กรมปศุสัตว์จึงมีนโยบายส่งเสริมให้มีการผลิตโคเนื้อเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ ลดการนำเข้าเนื้อโคที่มีประมาณปีละหลายพันตัน ด้วยการเร่งขยายจำนวนแม่พันธุ์โคเนื้อผ่านโครงการต่างๆ โดยเฉพาะในปัจจุบันได้มีการส่งเสริมผ่านโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืชตามแผนที่ Agri-Map ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มอบหมาย ให้กรมปศุสัตว์ปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมในการปลูกข้าวจำนวน 150,000 ไร่ มาส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงโคเนื้อ-กระบือ รวมถึงแพะ-แกะซึ่งในส่วนของโคเนื้อมีเป้าหมายให้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวจำนวน 120,000 ไร่ โดยกรมปศุสัตว์จะต้องเพิ่มโคแม่พันธุ์เข้าไปในระบบอีกจำนวน 120,000 ตัว สิ่งสำคัญที่สุดที่กรมปศุสัตว์ต้องดำเนินการคือการพัฒนาสายพันธุ์โคเนื้อที่มีคุณภาพ ได้เนื้อโคตรงตามลักษณะที่ตลาดต้องการ
สำหรับพันธุ์โคเนื้อที่กรมปศุสัตว์นำมาพัฒนาปรับปรุงพันธุ์เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยง จะเน้นการใช้โคพันธุ์บราห์มัน เป็นพื้นฐานในการปรับโครงสร้างโค และใช้โคสายพันธุ์ยุโรปในการปรับคุณภาพเนื้อ เช่น ชาโรเล่ แองกัสและสายพันธุ์ที่นำเข้าใหม่คือ บีฟมาสเตอร์ ซึ่งกรมปศุสัตว์จะวางฐานทิศทางที่ชัดเจนให้เกษตรกรนำไปพัฒนากับสายพันธุ์โคที่เลี้ยงอยู่ให้สูงขึ้น คาดว่าภายใน 10 ปี เกษตรกรไทยจะมีโคเนื้อที่มีคุณภาพทัดเทียมกับต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน โคเนื้อสายพันธุ์เหล่านี้ โดยเฉพาะพันธุ์แองกัส ที่มีเปอร์เซ็นต์ไขมันแทรกค่อนข้างสูง ก็จะเป็นฐานสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาโคเนื้อเกรดพรีเมี่ยม โดยเฉพาะในกลุ่มโควากิว ซึ่งเป็นโคเนื้อที่มีชื่อเสียงของชาวญี่ปุ่น มีไขมันแทรกสูงกว่าสายพันธุ์อื่นๆ เนื้อนุ่ม กำลังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน หากนำโคพันธุ์วากิวไปผสมกับโคเนื้อพันธุ์ลูกผสมแองกัส ก็ยิ่งจะต่อยอดให้การพัฒนาโควากิวในประเทศไทยเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันในประเทศไทยสามารถผลิตโคเนื้อวากิวคุณภาพดีเยี่ยมคือโคเนื้อโคราชวากิว โดยทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีร่วมกับสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคเนื้อโคราชวากิว สุรนารี จำกัด เพื่อสร้างเนื้อโคคุณภาพเยี่ยมมาตรฐานส่งออก ทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยกรมปศุสัตว์เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์ความรู้ ทั้งด้านเรื่องการปรับปรุงพันธุ์ ด้านอาหารและรูปแบบการเลี้ยงที่ประณีต เพื่อให้ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ของโคเนื้อวากิว ส่วนโคเนื้อเกรดพรีเมียมที่กรมปศุสัตว์ดำเนินการเอง เช่น โคเนื้อพันธุ์ไทยแบล็คที่มีเลือดผสมระหว่างโคพื้นเมืองและโคพันธุ์แองกัส มีความสมบูรณ์พันธุ์สูงอัตราการเจริญเติบโตไม่ต่ำกว่า 1.0 กก/วันในระยะขุน คุณภาพซากความนุ่มและการแทรกของไขมันแบบไม่อิ่มตัวในกล้ามเนื้อตรงตามความต้องการของตลาดเนื้อชั้นสูง ส่วนอีกสายพันธุ์คือ โคทาจิมะภูพานหรือโคดำภูพาน ซึ่งเป็นโคเนื้อพันธุ์พระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยทรงได้รับทูลเกล้าฯถวายโคพ่อพันธุ์ทาจิมะมาจากรัฐบาลญี่ปุ่น และได้พระราชทานโคเนื้อทาจิมะคู่นี้ให้แก่กรมปศุสัตว์นำมาเลี้ยงที่ศูนย์ศึกษาฯ ภูพาน เพื่อใช้ในการศึกษาวิจัยการปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อสำหรับการขุนเพื่อผลิตเนื้อโคขุนคุณภาพสูง โคพันธุ์นี้มีความโดดเด่นที่ให้เนื้อคุณภาพดี เนื้อนุ่ม ไขมันแทรกสูงมีสัดส่วนของกรดไขมันไม่อิ่มตัวต่อกรดไขมันอิ่มตัวสูงกว่าโคทั่วไป จึงปลอดภัยต่อการบริโภค ซึ่งเนื้อโคเกรดพรีเมียมเหล่านี้ กำลังเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค และมีราคาสูง หากส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาผลิตโคเนื้อเกรดพรีเมียมภายใต้ต้นทุนที่ไม่สูง ก็จะช่วยยกระดับอาชีพการเลี้ยงโคเนื้อของไทยได้ แต่ต้องส่งเสริมไปพร้อมๆ กับการผลิตโคเนื้อเพื่อรองรับตลาดระดับล่างและกลาง ซึ่งเป็นตลาดผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ของบ้านเรา
“ตลาดโคเนื้อในประเทศไทยในปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ คือ 1.ตลาดล่างซึ่งเป็นโคพื้นเมืองหรือพันธุ์ลูกผสมที่เกษตรกรปล่อยเลี้ยงตามทุ่งหญ้าสาธารณะทั่วไป เมื่อได้น้ำหนักที่เหมาะสมเกษตรกรก็จะจำหน่ายออกสู่ตลาด กลุ่มนี้ถือเป็นตลาดใหญ่ของประเทศ 2.ตลาดระดับกลาง เป็นโคเนื้อลูกผสมสายพันธุ์ยุโรปที่เกษตรกรนำมาเข้าสู่ระบบการเลี้ยงขุนเพื่อให้มีอัตราการเจริญเติบโตในระยะเวลาที่กำหนด ให้ได้คุณภาพเนื้อที่มีความนุ่ม มีไขมันแทรก เหมาะสำหรับทำสเต็ก อาหารเกาหลี อาหารญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งในกลุ่มนี้ตลาดมีความต้องการประมาณปีละ 500,000 ตัว ราคาค่อนข้างสูง 3.ตลาดโคเนื้อคุณภาพเกรดพรีเมียม ซึ่งเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ปัจจุบันตลาดมีความต้องการประมาณปีละ 12,000 ตัว แต่ก็ยังผลิตไม่เพียงพอ จึงมองว่าทิศทางโคเนื้อโดยรวมยังสดใส หากมองในแง่รายได้ของเกษตรกรยังมีทิศทางที่ดี เนื่องจากปริมาณโคเนื้อขาดแคลน ส่งผลให้เกษตรกรขายโคได้ราคาดี ยิ่งเปิดตลาดอาเซียน ประเทศไทยก็มีโอกาสทางการตลาดที่ดีทั้งในจีน มาเลเซีย ที่มีความต้องการโคเนื้อและกระบือจากไทยอีกจำนวนมาก” รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี