สถานการณ์ภัยแล้งแม้จะบรรเทาเบาบางเพราะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ฤดูฝนมาแล้วนั้น แต่ผลพวงจากภัยแล้งและความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนรุนแรงในช่วงปีที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงกลางปีนี้ ได้ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจการเกษตร โดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่ 2 เดือนเมษายน-มิถุนายน ยังคงหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
นายสุรพงษ์ เจียสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สศก.ได้วิเคราะห์และประมาณการภาวะเศรษฐกิจการเกษตร ไตรมาสที่ 2 (เดือนเมษายน - มิถุนายน) ของปี 2559 พบว่า การเติบโตของภาคเกษตร วัดจากปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดในไตรมาสที่ 2 ปี 2559 หดตัว 1.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2558 โดย สาขาพืชหดตัว 2.5% เนื่องจากได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากภัยแล้งโดยเฉพาะข้าวนาปรัง ปี 2559 ซึ่งเก็บเกี่ยวผลผลิตได้รวม 1.8 ล้านตัน ลดลง 24% เมื่อเทียบกับข้าวนาปรัง ปี 2558 ที่มีผลผลิต 2.4 ล้านตัน และผลไม้ (ทุเรียน เงาะ ลิ้นจี่ ลำไย) ซึ่งผลผลิตลดลง จากสภาพอากาศแปรปรวนและภัยแล้ง ทำให้ผลไม้มีผลผลิตเป็น 397,000 ตัน หรือลดลง 40% เมื่อเทียบกับผลผลิตปี 2558 รวม 560,000 ตันรวมทั้งผลผลิตปาล์มน้ำมันลดลง 22% (ไตรมาส 2 ปี 2559 ผลผลิตเป็น 3.2 ล้านตัน จากเดิม 4.1 ล้านตัน หรือลดลง 0.9 ล้านตัน)
สาขาปศุสัตว์ ขยายตัว 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 โดยเฉพาะไก่เนื้อ สุกร ไข่ไก่ และน้ำนมดิบ มีผลผลิตเพิ่มขึ้น 4.8 6.6 8.4 และ 2.1% ตามลำดับ ตามความต้องการของตลาด แม้จะประสบอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งบ้าง แต่การเลี้ยงส่วนใหญ่เป็นฟาร์มมาตรฐานระบบปิด และเกษตรกร ภาคเอกชน มีการจัดการคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ดีสาขาประมง หดตัว 0.9% เป็นผลมาจากผลผลิตประมงทะเลลดลง โดยปริมาณสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือในภาคใต้ลดลงร้อยละ 12.7 แต่ผลผลิตกุ้งเพาะเลี้ยง เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.8 เนื่องจากมีระบบมาตรฐานการจัดการที่ดีในกระบวนการผลิตและตรวจสอบย้อนกลับ และการจัดการปัญหาโรคกุ้งตายด่วนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สาขาบริการทางการเกษตรหดตัว 1.4% โดยการจ้างบริการเตรียมดินไถพรวนดิน และเกี่ยวนวดข้าวลดลง เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังลดลง จากปริมาณน้ำที่ใช้การได้ในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้อย ส่วนสาขาป่าไม้ ขยายตัว 2.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 เนื่องจากไม้ยางพารา และไม้ยูคาลิปตัส เพิ่มขึ้น โดยการขยายตัวของไม้ยางพารามีปัจจัยสนับสนุนมาจากการขยายเป้าหมายพื้นที่ตัดโค่นสวนยางพาราเก่าของ กยท. ประกอบกับไม้ยางพาราเป็นที่ต้องการของตลาดจีนอย่างมาก ขณะที่ตลาดเกาหลี จีน ไต้หวันและญี่ปุ่น มีความต้องการไม้ยูคาลิปตัสสูงมาก
แต่ถ้ามองถึงรายได้เกษตรกรในไตรมาสที่ 2 ปี 2559 พบว่า เพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 เนื่องจากราคาผลิตผลเกษตรสำคัญที่เกษตรกรขายได้อยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะข้าวเปลือกเจ้า ราคา 8,100 บาทต่อตัน เพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบกับราคาข้าวเปลือกช่วงเดียวกันของปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ 7,600 บาทต่อตัน สำหรับผลไม้ (ทุเรียน ลำไย เงาะ) ราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 47.7 43.1 และ 24.5% ตามลำดับ ราคาปาล์มน้ำมัน และสับปะรด เพิ่มขึ้น 42.3 และ 4.7% ตามลำดับ โดยปาล์มน้ำมันราคาเพิ่มขึ้นเป็น5.3 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมราคา 3.7 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากผลผลิตลดลง แต่ความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้น อีกทั้งการกำหนดมาตรฐานการซื้อขายที่เป็นที่ยอมรับมากขึ้น เช่น ความต้องการข้าวต้นฤดูเพิ่มขึ้นเพื่อส่งออกเป็นข้าวนึ่งไปยังตลาดแอฟริกา การซื้อขายปาล์มน้ำมันตามเปอร์เซ็นต์น้ำมัน การควบคุมคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐาน ได้แก่ ไม่ตัดทุเรียนอ่อน เป็นต้น นอกจากนี้ ราคาสินค้าปศุสัตว์และสินค้าประมงยังปรับเพิ่มขึ้นด้วย
นายสุรพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดช่วงเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้เกิดภาวะความแห้งแล้ง กระทบต่อการผลิตการเกษตรของเกษตรกรในช่วงปี’58 จนถึงไตรมาสที่ 2 ปี’59 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักดูแลเกษตรกรและการเกษตรของประเทศ ได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและภาคเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรจากปัญหาภัยแล้ง โดยบูรณาการกับหน่วยงานอื่น 13 หน่วยงาน/กระทรวง รวม 8 มาตรการช่วยเหลือ 45 โครงการ นอกจากนี้ยังได้ดำเนินมาตรการและโครงการขับเคลื่อนการเกษตรเพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขันตามเป้าหมายของประเทศไปสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ตามแนวทางประชารัฐ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี