วันนี้หากจะมองถึงการดำเนินชีวิตภายใต้สภาวการณ์ที่เรียกกันว่า เป็นระบบทุนนิยม เราจะพบว่า ผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมากระทบต่อประชากรของประเทศ จะมีทั้งความล้มเหลวและความสำเร็จในขณะเวลาเดียวกัน ดังนั้นจึงทำให้เกิดทฤษฎีใหม่เพื่อปรับเปลี่ยนสถานการณ์ให้เกิดสิ่งที่ดีมากกว่าสิ่งที่เป็นปัญหา จึงได้เกิดแนวคิดแนวปฏิบัติใหม่ ที่เรียกว่า ไทยแลนด์ 4.0 อันเป็นการปรับเปลี่ยนในส่วนของโลกอุตสาหกรรม
ไทยแลนด์ 4.0 คือระบบเศรษฐกิจในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่กำลังเริ่มต้นของช่วง ปี พ.ศ.นี้และจะไปเกิดเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมในอีก 10-20 ปีข้างหน้าโดยการปฏิวัติอุตสาหกรรมในครั้งนี้มีที่มาจากระบบทุนนิยมที่มีทั้งความล้มเหลวและความสำเร็จนั่นเอง โดยการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งนี้ จะมีทั้งแรงผลักและแรงส่งไปพร้อมๆ กัน
แรงผลักคือวิกฤตการณ์ของระบบทุนนิยมโลก ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ผ่านมา การแข่งขันทางเศรษฐกิจที่เข้มข้นและทำลายล้างในยุคโลกไร้พรมแดน วิกฤตการณ์ความเสื่อมโทรมด้านสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติ วิกฤตการณ์ด้านประชากรสูงอายุมากขึ้นแรงงานลดลง สังคมแบ่งขั้วแบ่งชนชั้นคนรวยคนจนอย่างรุนแรง วัฒนธรรมบริโภคนิยมแบบไม่มีเหตุผล ผู้บริโภคส่วนใหญ่ล้มละลาย มีหนี้ท่วมตัว ตัวอย่างความล้มเหลวของระบบทุนนิยมโลก คือปัญหาความยากจนและความไม่เท่าเทียมรัฐบาลทุกยุคสมัยประกาศสงครามต่อสู้กับความยากจน ผลคือความยากจนเป็นฝ่ายชนะรัฐบาลเสมอมา
แรงส่ง เป็นผลพวงจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุค 2-3 ที่ผ่านมา เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีอัจฉริยะ สังคม-วัฒนธรรม ที่มีการเชื่อมต่อกันตลอดเวลา ในระดับหน่วยเศรษฐกิจที่เล็กที่สุด โดยผ่านระบบเชื่อมต่อเสมือนจริง มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและอินเตอร์เนตมาใช้ในกระบวนการผลิตและกระจายสินค้าบริการ เชื่อมความต้องการของผู้บริโภคแต่ละรายเข้ากับกระบวนการผลิตสินค้าได้โดยตรง และมีหน่วยผลิตอย่างฟาร์มเกษตร-โรงงานฯแบบอัจฉริยะ (Smart farms-smart factories) ที่สามารถผลิตสินค้าได้ตามความต้องการเฉพาะของผู้บริโภคแต่ละรายเป็นจำนวนมากๆ ได้รวดเร็วทันเวลา ผู้ผลิต-ผู้บริโภคให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และในการเริ่มต้นของ ไทยแลนด์ 4.0 คือ การเตรียมพร้อมในการรับความเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งประเทศไทยมีความได้เปรียบในเชิงภูมิศาสตร์ คือ มีพื้นที่ส่วนใหญ่ เหมาะสำหรับการฟื้นงานด้านเกษตร แต่ต้องอย่าลืมที่จะป้องกันการรุกล้ำของชุมชนเมืองที่ก้าวเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว
ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา
ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา (มรภ.สงขลา) ผู้เชี่ยวชาญด้านการกระจายอำนาจทางการคลัง ธนาคารโลก ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “นโยบายสาธารณะ กับการขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0” ให้แก่นักศึกษาโปรแกรมวิชาเศรษฐศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มรภ.สงขลาเมื่อเร็วๆ นี้ฟังว่า เศรษฐกิจ 4.0 ในนโยบายของรัฐบาลไทยใช้ 3 กลไกขับเคลื่อน ได้แก่ 1.Productive Growth Enginesคือการปรับเปลี่ยนประเทศไทยสู่ประเทศที่มีรายได้สูง ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ปัญญา เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ อาทิ สร้างเครือข่ายความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐ บริหารจัดการสมัยใหม่ สร้างคลัสเตอร์ทางด้านเทคโนโลยี พัฒนาขีดความสามารถด้านการวิจัยและพัฒนา การพัฒนาโมเดลธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ริเริ่มการร่วมทุนรัฐและเอกชนในโครงการขนาดใหญ่ และบ่มเพาะธุรกิจด้านเทคโนโลยี2.Inclusive Growth Engines คือการ กระจายรายได้ โอกาส และความมั่งคั่ง โดยสร้างคลัสเตอร์เศรษฐกิจระดับกลุ่มจังหวัด พัฒนาเศรษฐกิจระดับฐานรากในชุมชน ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจ ส่งเสริมและสนับสนุนให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้มแข็ง และสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก สร้างงานใหม่ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ยกระดับขีดความสามารถ การเสริมสร้างทักษะและพัฒนาศักยภาพของพลเมือง ให้ทันกับพลวัตการเปลี่ยนแปลง ชดเชยรายได้ให้แก่ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์และ 3.Green Growth Engines คือ การใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เน้นการใช้พลังงานทดแทน คำนึงถึงประโยชน์ที่ได้จากการลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นทั้งระบบ มากกว่าความได้เปรียบด้านต้นทุน
ประเทศไทยกำลังมุ่งสู่เศรษฐกิจ 4.0 ด้วย 5 สาขาอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ 1.Biotechnology เกษตร อาหารฐานนวัตกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ เน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเชื่อมต่อผู้ผลิตกับผู้บริโภคแบบครบวงจร 2.Bio-Medical สาธารณสุข สุขภาพ ฐานเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ 3.Robotic เครื่องมือเทคโนโลยีอุปกรณ์อัจฉริยะหุ่นยนต์ ระบบเครื่องกลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการควบคุม 4.Digital & IOT เทคโนโลยีการสื่อสาร การเชื่อมต่ออินเตอร์เนตแบบอัจฉริยะ ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ 5.Creative &Culture: อุตสาหกรรมและบริการสร้างสรรค์ เชื่อมโยงโรงงานกับผู้บริโภค สื่อเสมือนจริง การท่องเที่ยวฐานวัฒนธรรมเชื่อมโยงพื้นที่ วัฒนธรรม หน่วยให้บริการนักท่องเที่ยวแบบครบวงจร ในอนาคตบริษัทขนาดใหญ่จะถูกย่อยเป็นบริษัทขนาดเล็ก ขณะเดียวกันผู้ที่ทำธุรกิจแบบเดี่ยวๆ จะมีน้อยลงแต่จะรวมกลุ่มกันและมีการลงทะเบียนเพื่อควบคุมมาตรฐานสินค้าเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้จะมีการนำระบบเงินตราแบบอิเล็กทรอนิกส์(เงินเครดิต-เงินเสมือนจริง) มาใช้แทนระบบเงินตราแบบดั้งเดิม ผ่านธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ ของไทยเราคือ “พร้อมเพย์”(Prompt pay) อุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ จะเปลี่ยนรูปแยกตัว-กระจายตัวออกเป็นหน่วยย่อยๆ ที่เป็นอิสระจากกันมากขึ้น และรวมหน่วยปัจจัยการผลิต-ผู้บริโภคเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ เชื่อมโยงผ่านระบบเครือข่าย ธุรกิจเน้นการพึ่งพากันและกัน มากกว่าแข่งขันแบบทำลายล้าง ธุรกิจเพื่อสังคม สหกรณ์ และองค์กรภาคประชาสังคม เข้ามามีบทบาททดแทนหน่วยงานภาครัฐมากขึ้น ขณะเดียวกันการเมืองก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ประชากรเมืองเพิ่มขึ้น คนเมืองมีมากกว่าร้อยละ 70 เมืองยุคดั้งเดิมถูกแทนที่โดยเมืองสมัยใหม่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความสำคัญมากขึ้น เปลี่ยนบทบาทจากการปกครองเป็นการบริหารเมืองสมัยใหม่ รัฐในระดับชาติทำหน้าที่ด้านการกำกับดูแลตลาด การจัดสรร และการกระจายเพื่อลดปัญหาชนชั้น ผลิต-ให้บริการ น้อยลง เปลี่ยนผู้ผลิตและผู้บริโภคให้เป็นพลเมืองที่มีความรู้ ผลิต-บริโภคอย่างมีเหตุผลและรับผิดชอบ ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทย 4.0 จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขเบื้องต้นต่อไปนี้คือ 1.การเกิดพลเมืองยุคใหม่ 2.การเกิดเทคโนโลยีการผลิตและเชื่อมต่อยุคใหม่ (พลังงาน วัสดุ เกษตร ไอที การจัดการชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ฯลฯ) 3.การกระจายการถือครองทรัพย์สินประเภททุน(ที่ดิน อาคารบ้านเรือน เงินลงทุน ข้อมูลและความรู้)4.การกระจายตัวของการลงทุน และการลงทุนระยะยาว5.การเกิดเมืองสมัยใหม่ และระบบโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ ให้สามารถรองรับการกระจายตัวของการลงทุนและนวัตกรรมยุคใหม่ 6.การเกิดความรู้เกี่ยวกับการจัดการองค์กรยุคใหม่-องค์กรเครือข่าย-องค์กรเสมือนจริง ธุรกิจเพื่อสังคม แทนที่ความรู้เกี่ยวกับการจัดการองค์กรอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในยุคที่ 3 และ 7.การเมืองแบบประชาธิปไตยที่มีเหตุผลมากกว่าที่เคยผ่านๆ มา
ผลกระทบจากไทยแลนด์ 4.0 ต่อคนกลุ่มต่างๆ คนรวยก็จะยังคงรวยต่อไป แต่คนชั้นกลางจะเลื่อนไปเป็นคนชั้นล่าง ในขณะที่คนชายขอบส่วนหนึ่งจะตกขอบและดึงไม่ขึ้น ซึ่งอาจได้รับความช่วยเหลือในแง่เงินสงเคราะห์จากรัฐบาล ขณะนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจที่รัฐกำลังร่างอยู่ได้พยายามนำเอาไทยแลนด์ 4.0 ไปใส่ในยุทธศาสตร์ชาติในอนาคต โดยจะครอบคลุมเรื่องทิศทางและมาตรการที่จะเดิน
กล่าวได้ว่า ไทยแลนด์ 4.0 มีความเกี่ยวข้องกับเราทุกคน เนื่องจากเราคือพลเมืองยุคใหม่ซึ่งจะใช้ชีวิตอยู่ในระบบเศรษฐกิจ 4.0 ในวันนี้และวันข้างหน้า ดังนั้นในการเตรียมตัวต้องทำตัวให้พร้อมที่จะเป็นพลเมืองที่ฉลาดและมีเหตุผล(ไม่เป็นผู้บริโภคที่ไม่มีเหตุผล) มีศักยภาพในการเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของหน่วยธุรกิจขนาดเล็ก-ขนาดกลาง หรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบเชื่อมต่อระหว่างหน่วยเศรษฐกิจอื่นๆ ในสังคมท้องถิ่น สังคมไทย และสังคมโลก
สุดท้ายอยากให้ผู้บริหารประเทศได้ตระหนักถึงคำกล่าวของ ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา ที่ย้ำให้ทราบว่าการเป็นประเทศที่มีรายได้สูง ไม่จำเป็นต้องเน้นด้านอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียว เพราะอย่างประเทศนิวซีแลนด์เดนมาร์ก ซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรมแบบเกษตรก้าวหน้า ก็สามารถมีรายได้สูงได้ ไทยเองมีข้อได้เปรียบเรื่องทำเลที่ตั้ง และที่สำคัญที่สุดประเทศไทยเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะกับการทำเกษตร ดังนั้น ต้องฟื้นด้านเกษตรให้ดี และป้องกันการรุกล้ำของเมืองจนถึงขั้นวิกฤติอย่างเด็ดขาด
ชนิตร ภู่กาญจน์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี