ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา มีข่าวที่ผมอ่านพบในเว็บไซต์ “สำนักข่าวอิศรา”ด้วยความสนใจคือ ข่าวสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินหรือ สตง.เผยแพร่รายงานผลตรวจสอบการจัดทำโครงการสำรวจสำมะโนการเกษตรปี 2556 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบปัญหาเพียบ ทำให้ข้อมูลที่ได้ คลาดเคลื่อนไม่ถูกต้อง การนำข้อมูลนี้ไปใช้วางแผนพัฒนาและวางนโยบายประเทศ จึงไร้ประสิทธิภาพได้
ตามข่าวระบุว่า...โครงการสำรวจสำมะโนการเกษตรเมื่อปี 2556 ซึ่งใช้งบประมาณแผ่นดินไป 536.30 ล้านบาท เพื่อจัดเก็บข้อมูลสถิติพื้นฐานสำหรับใช้วางแผนพัฒนา กำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยนั้น สตง.ตรวจพบปัญหาในขั้นตอนดำเนินงานจำนวนมาก เช่น การจัดเก็บข้อมูลไม่ครบถ้วนในจำนวนกลุ่มเป้าหมายของการสำมะโน,ข้อมูลสำคัญที่จัดเก็บ บางส่วนคลาดเคลื่อนไม่ตรงตามข้อเท็จจริง ขณะที่หลักเกณฑ์หรือระเบียบค่าใช้จ่ายของพนักงานแจ้งนับที่ลงไปเก็บข้อมูล ก็ไม่กำหนดให้ชัดเจน,พนักงานแจ้งนับบางรายมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามที่กำหนด บางรายก่อนลงเก็บข้อมูลก็ไม่เคยเข้ารับการอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในขั้นตอนปฏิบัติงาน หรือบางรายไม่ลงพื้นที่เก็บข้อมูลด้วยตนเอง และยังพบข้อจำกัดในขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลความถูกต้องครบถ้วนของเจ้าหน้าที่วิชาการด้วย
นอกจากนี้ สำนักงานสถิติจังหวัดบางแห่ง ยังไม่จัดเก็บเอกสารหลักฐานการปฏิบัติงานสนามเพื่อประกอบการคิดคำนวณค่าตอบแทนให้พนักงานแจงนับ ส่วนขั้นตอนการเก็บข้อมูลก็พบว่า กลุ่มเกษตรกรยังไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร มีการให้ข้อมูลไม่ครบ ไม่ตรงตามจริง หรือต้องการปกปิดข้อมูลด้วย
สตง.จึงสรุปว่า สภาพปัญหาดังกล่าวเป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะส่งผลกระทบ ทำให้การใช้เงินงบประมาณ 536.30 ล้านบาท เพื่อจัดเก็บข้อมูลนี้ ไม่คุ้มค่า เนื่องจากได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน,ไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง จนทำให้การนำข้อมูลไปวางแผนพัฒนาระดับประเทศและระดับท้องถิ่นไม่เกิดประสิทธิภาพ ไม่สามารถใช้ประโยชน์ข้อมูลที่จัดเก็บได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งฐานข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการเกษตรในภาพรวมของประเทศไทยไม่เป็นเอกภาพกับข้อมูลของแต่ละหน่วยงานที่จัดเก็บกัน ทำให้มีความแตกต่างหรือไม่ตรงกัน ส่งผลต่อประสิทธิภาพด้านการวางแผนพัฒนาของประเทศ....
เบื้องต้น สตง.จึงแจ้งข้อเสนอแนะให้ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติรับไปดำเนินการปรับปรุงแก้ไขการดำเนินงานสำรวจสำมะโนในครั้งต่อไปแล้ว….
ข่าวนี้สะท้อนอะไรบ้าง? สำหรับผมแล้ว มองว่า นี่เป็นปัญหาพื้นฐานสำคัญยิ่งที่ทำให้ประเทศไทยเรา “ล้มเหลว” มากกว่าประสบ “ความสำเร็จ” มาโดยตลอด ในการวางแผนพัฒนาและดำเนินนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาภาคการเกษตร
เพราะเราไม่เคยมี“ข้อมูลพื้นฐาน”สำคัญๆที่“ถูกต้อง ชัดเจน ครบถ้วน รอบด้าน”อย่างแท้จริงเลย ทำให้การกำหนดนโยบายต่างๆที่จะต้องอาศัย“ข้อมูล”เป็นหัวใจสำคัญในการออกแบบนโยบายให้ใช้ได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดขึ้น
หน่วยงานที่ทำหน้าที่สำรวจสถิติหาข้อมูลให้ชัดเจนอย่าง“สำนักงานสถิติแห่งชาติ”ซึ่งน่าจะเป็น“มืออาชีพ”แต่ผลตรวจสอบของสตง.ในโครงการสำมะโนการเกษตรฯหนนี้ ชี้ชัดว่าทำงาน“มืออาชีพ”แค่ไหน ข้อมูลถึงคลาดเคลื่อน กระพร่องกระแพร่ง แล้วแบบนี้หน่วยงานอื่นๆรวมทั้งหน่วยงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ต้องทำหน้าที่จัดเก็บฐานข้อมูลของ“เกษตรกร” ย่อมน่าห่วงเช่นกัน
การลงทะเบียนเกษตรกรแต่ละรัฐบาลเพื่อที่จะออกนโยบายอะไรมาให้ความช่วยเหลือ จึงมักกลายเป็น“เงื่อนไข”นำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชั่นอยู่เสมอๆ เช่น โครงการรับจำนำข้าวยุครัฐบาล“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ที่ผลวิจัย TDRI แฉว่า ทุจริตตลอดทั้ง 4 ขั้นตอน 20 วิธี ซึ่งขั้นตอนแรกสุดคือ “การลงทะเบียนชาวนา” ก็โกงกันถึง 4 วิธีคือ ขึ้นทะเบียนพื้นที่ปลูกข้าวมากเกินจริง,แจ้งผลผลิตเกินจริง,ขึ้นทะเบียนที่นาซ้ำซ้อนระหว่างเจ้าของที่นากับผู้เช่านา,ขายสิทธิใบรับรองเกษตรกรให้โรงสีอย่างนี้เป็นต้น
รัฐบาลนี้ตั้งเป้าจะนำพาประเทศไทยสู่ยุค 4.0 เรื่องของ“ฐานข้อมูล”หรือ“ดาต้าเบส”ก็สำคัญอย่างยิ่ง ที่จะต้อง“ปฏิรูป”การทำงานให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและสร้างระบบ“บิ๊กดาต้า”ให้ได้จริงๆ
เช่นกันกับข้อมูลที่กระทรวงเกษตรฯจัดเก็บ แต่ถ้าไม่สมบูรณ์ชัดเจน ก็เปรียบดังข้อมูลที่“รู้ไม่จริง” แล้วจะแก้ปัญหาให้กับพี่น้องเกษตรกรให้ได้จริงๆ ได้อย่างไร
สาโรช บุญแสง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี