ตัวแทนศิษย์เก่าและผู้ปกครองนักเรียนในพื้นที่ตำบลคำเหมือดแก้ว อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ กว่า 50 คน บุกยื่นหนังสือนายอำเภอ หลังถูกผู้บริหารโรงเรียนและครู 9 คนสุมหัวกันยักยอกเงินออมทรัพย์ฯกว่า 10 ล้านบาท หลังจากครูและผู้บริหารตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ในโรงเรียนประจำหมู่บ้าน แล้วกล่อมให้ชาวบ้านนำเงินมาฝากกับสหกรณ์ เผย้ป็นสหกรณ์เถื่อน
18 ม.ค.61 เวลา 09.00 น. ที่บริเวณที่ว่าการอำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ ชาวบ้านกว่า 50 คน นำโดยนายพิบูรณ์ คำแหงพล ตัวแทนผู้ปกครองนักเรียน และนายพูนพิพัฒน์ เรืองแสน ตัวแทนศิษย์เก่าโรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอห้วยเม็ก ได้รวมตัวกันรวบรวมหลักฐาน เข้าร้องทุกข์ต่อศูนย์ดำรงธรรมอำเภอห้วยเม็ก โดยระบุว่าถูกผู้บริหารและครูในฐานะคณะกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ในโรงเรียน ยักยอกเงินกว่า 10 ล้านบาท ก่อนที่นายคูณ สุขรี่ ปลัดอำเภอห้วยเม็ก จะลงมารับฟังปัญหา แต่ชาวบ้านจะขอเข้าพบและยื่นหนังสือร้องทุกข์กับนายสุเทพ ชัยวัฒน์ นายอำเภอห้วยเม็ก ด้วยตัวเอง
นายพิบูรณ์ คำแหงพล ตัวแทนผู้ปกครองนักเรียน กล่าวว่า ชาวบ้านที่เป็นผู้ปกครอง รวมทั้งศิษย์เก่าและเด็กนักเรียน ที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ในโรงเรียนจำนวน 56 คน กำลังเป็นทุกข์ใจอย่างมาก จากการกระทำของคณะกรรมการสหกรณ์ฯ ซึ่งมีตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนและครูรวม 9 คน มีพฤติการณ์ยักยอกเงินออมทรัพย์ฯกว่า 8 ล้านบาท หรือหากรวมดอกเบี้ยประมาณ 10 ล้านบาท โดยไม่มีกรรมการคนใดออกมาแสดงความรับผิดชอบ
ตัวแทนผู้ปกครองนักเรียน กล่าวต่อว่า สหกรณ์ออมทรัพย์ในโรงเรียนดังกล่าวจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2539 เพื่อให้เด็กนักเรียนและผู้ปกครอง รู้จักการเก็บออม เพื่อเป็นทุนการศึกษาในอนาคต โดยระยะแรกให้เด็กนำไปฝากในรูปแบบเงินสะสมคนละเล็กละน้อย คิดดอกเบี้ยให้ร้อยละ 2 บาทต่อปี เมื่อครบปีสามารถถอนทั้งต้นทุนและดอกเบี้ยได้ แต่ที่ผ่านมาไม่ค่อยมีใครถอนหรือปิดบัญชี นอกจากจะนำมาฝากสะสมเพิ่มขึ้น บางคนฝากตั้งแต่อนุบาลถึงจบ ป.6 ออกไปศึกษาต่อจนจบปริญญาตรีและมีงานทำก็ยังไม่ถอน จึงทำให้มียอดเงินสะสมในบัญชีมากขึ้น ก่อนที่ระยะต่อมาคณะกรรมการฯได้ตั้งระเบียบใหม่ ที่หากบัญชีเด็กนักเรียนหรือศิษย์เก่ารายใดมียอดเกิน 70,000 บาท ก็ให้เปิดบัญชีใหม่ โดยให้ผู้ปกครองหรือญาติพี่น้องเป็นเจ้าของบัญชี จึงทำให้เงินฝากเฉลี่ยรายละ 20,000 – 200,000 บาท บางรายมากถึง 300,000 – 400,000 บาท
"ทั้งนี้ เพื่อเป็นการระดมเงินฝากให้สหกรณ์มีความเข้มแข็ง นำไปปล่อยกู้เพื่อหาผลกำไรให้กับสมาชิก โดยให้เหตุจูงใจว่าฝากมากได้เงินปันผลมาก ซึ่งจะได้รับเงินปันผลเมื่อครบปี และกำไรบางส่วนนำไปจัดทัวร์ พาคณะครู ผู้ปกครอง นักเรียน ไปทัศนศึกษาต่างจังหวัดเป็นประจำทุกปี สมาชิกส่วนใหญ่จึงฝากไว้ไม่ถอนทั้งเงินทุนและดอกเบี้ย หวังว่าเมื่อถึงคราวจำเป็นถึงจะถอนออกมา
"แต่พอจะไปถอนเงินจริงๆ กลับไม่สามารถถอนได้ โดยกรรมการอ้างว่าไม่มีเงินให้ถอน จึงเป็นพิรุธให้รู้ว่าเกิดความไม่โปร่งใส มีการยักยอกเงินไปแสวงหาประโยชน์ทางอื่น หรืออาจจะมีการนำไปปล่อยแชร์ลูกโซ่ที่ชาวบ้านไม่รู้ ก็อาจเป็นไปได้ เพราะเงินไม่เหลือในสหกรณ์เลย”
นายพูนพิพัฒน์ เรืองแสน ตัวแทนศิษย์เก่าฯ กล่าวว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาถึงปี 2556 ไม่เกิดปัญหา เพิ่งจะพบพิรุธในปี 2557 ที่คณะกรรมการฯ เริ่มเออร์ลี่หรือลาออกปีละคน 2 คน ทั้งๆ ที่เหลืออายุราชการคนละ 5-6 ปี และสมาชิกบางรายจะไปขอถอนเงินทั้งต้นทั้งดอกที่ฝากสะสมมา 10-20 ปี กลับไม่มีเงินคงเหลือให้ถอน
เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้ขอร้องให้คณะกรรมการฯมาชี้แจง แต่ก็ไม่มีใครมา บางคนออกจากพื้นที่ ไม่ทราบที่อยู่ จึงไม่สามารถติดตามตัวได้ และบางคนก็เสียชีวิตไปแล้ว ผู้ปกครอง นักเรียน ที่เป็นสมาชิกกำลังได้รับความเดือดร้อน เพราะต้องการถอนเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในครอบครัว บางคนก็จะนำไปใช้หนี้ ธ.ก.ส. บางคนก็จะซื้อคอมพิวเตอร์ให้ลูก ส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัย และเข้าโรงเรียนนายร้อย ก็หวังจะได้ถอนเงินจากส่วนนี้
"หากเงินของตัวเองที่ฝากสะสมมาถูกยักยอกสูญหายไป คงเสียโอกาสศึกษาต่อ จึงได้มารวมตัวร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจากศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ให้ช่วยติดตามตัวคณะกรรมการฯ มาไกล่เกลี่ย และนำเงินคืนสหกรณ์ฯด้วย"
นายพูนพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ครอบครัวตนเปิดบัญชีไว้กับสหกรณ์ 3 บัญชี รวมจำนวนที่ฝากสะสม 151,000 บาท เคยไปขอถอนเพื่อนำเงินมาลงทุนประกอบอาชีพ 50,000 บาท แต่กรรมการที่รับผิดชอบการเบิกจ่ายบอกว่าไม่มีเงินให้เบิก เนื่องจากนำไปปล่อยกู้หมดแล้ว จึงได้ชักชวนเพื่อนสมาชิกทำหนังสือขอตรวจสอบ แต่ได้รับคำตอบโดยวาจาจากเหรัญญิกว่าจะนำเงินจากการลาออกมาใช้คืนภายในปี 60 จึงให้โอกาสและรอเวลามาจนถึงวันนี้ ยังไม่เอาเงินมาเข้าบัญชี และไม่มีกรรมการคนไหนมาชี้แจงที่ไปของเงินทั้งหมด
"จากการคำนวณภาพรวมสมาชิก 56 ราย เฉพาะเงินต้นประมาณ 8 ล้านบาท จึงเกิดคำถามว่าตั้งแต่ปี 2539-2560 ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งรวมแล้วน่าจะประมาณ 10 ล้านบาทหายไปไหนใครจะรับผิดชอบและนำมาชดใช้ เพราะไม่สามารถตามตัวมาคุยกันได้ และกรรมการที่มีส่วนรับผิดชอบทั้งหมด 9 คน ซึ่งเป็นอดีตผู้บริหารโรงเรียน ครูและนักการ ออกจากพื้นที่ 7 คน เสียชีวิต 2 ราย จึงได้มาร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจากศูนย์ดำรงธรรมอำเภอในครั้งนี้”
ด้านนายสุเทพ ชัยวัฒน์ นายอำเภอห้วยเม็ก ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมประจำอำเภอ กล่าวว่า จากการพูดคุยและตรวจสอบเอกสาร ทราบว่าสหกรณ์ออมทรัพย์ดังกล่าว ไม่ได้มีการจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายหรือตามหลักการสหกรณ์ทั่วไป
เบื้องต้นอาจเป็นเกิดขึ้นจากข้อตกลงระหว่างครูกับเด็กนักเรียน โดยเชิญชวนนักเรียนนำเงินมาฝาก ที่อาจจะฝากรายวัน หรือตามรายสะดวกหรือทุกเดือน ก่อนที่จะเติบโตและมีเงินสะสมมาก จึงได้ขยายกลุ่มผู้ฝากไปถึงผู้ปกครอง โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาบริหารสหกรณ์ฯ
“ชาวบ้านที่มาร้องทุกข์ ไม่มีใบเสร็จนำฝากมาอ้างอิง มีเพียงสมุดฝากเงินออมทรัพย์ คนละเล่มถึง 5 เล่ม ที่ระบุตัวเลขสรุปยอดรวมสะสมในแต่ละปีพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งพอจะประมวลเหตุการณ์ได้ว่า มีการนำเงินไปฝากออมกันง่ายๆ ด้วยความเชื่อถือว่าคณะกรรมการเป็นครูที่สอนอยู่โรงเรียนมาหลายปี จึงเชื่อใจนำเงินไปฝากเพื่อหวังผลกำไร ครบกำหนดปีก็ไม่เคยถอนและตรวจสอบงบดุลหรือการหมุนเวียนเงิน ที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการฯ ชุดเดิมชุดเดียวที่ตั้งมาตั้งแต่ปีแรกถึงปัจจุบัน"
"ในส่วนการช่วยเหลือก็จะสั่งการให้เจ้าหน้าศูนย์ดำรงธรรมฯ ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น ตรวจบัญชี สหกรณ์ เข้าไปตรวจสอบเชิงลึก ทั้งบัญชีคุมเงิน เส้นทางการเบิกจ่าย เอกสารอื่นใดในสหกรณ์ฯ นอกจากนี้ ยังได้แนะนำให้ชาวบ้านไปแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ห้วยเม็ก เพื่อออกหมายเรียกบุคคลที่ปรากฏชื่อเป็นคณะกรรมการ มาให้ปากคำต่อไป” นายอำเภอห้วยเม็ก กล่าว
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเอกสารการร้องทุกข์ พบว่ามีจำนวนเงินที่สมาชิกฝากสะสมในบัญชีสหกรณ์ไม่เท่ากัน โดยจะลดหลั่นตามสัดส่วนการนำฝากและขอถอนดอกเบี้ยหรือเงินต้นบางส่วนในปีก่อนๆ ที่ยังไม่เกิดปัญหา เริ่มตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสน มากที่สุด คือ นางยอย วงเวียนครู จำนวน 420,000 บาท, รองลงมามี น.ส.ละอองตา สีตาแสน จำนวน 329,840 บาท และนางอรษา พลศิริ จำนวน 245,000 บาท ซึ่งมีหลายคนที่นำเงินที่ได้รับจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และผู้พิการ มาฝากเพื่อหวังเป็นทุนการศึกษาให้บุตรหลาน ก่อนที่จะถูกคณะกรรมการฯตั้งสหกรณ์เถื่อนขึ้นมาชวนเชื่อเป็นเวลาเกือบ 20 ปีจนพากันตายใจ และทยอยเออร์ลี่เชิดเงินหนีดังกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี