ส่องเกษตร : ขับเคลื่อนศก.พอเพียง-แหล่งน้ำ

ส่องเกษตร : ขับเคลื่อนศก.พอเพียง-แหล่งน้ำ

วันพุธ ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

มีข่าว 2 เรื่องที่ผมเห็นว่า น่าสนใจยิ่งในการแก้ไขปัญหาให้ภาคการเกษตรได้อย่างยั่งยืนต่อไป

ข่าวแรกนายวิวัฒน์ ศัลยกำธร หรืออาจารย์ยักษ์ ซึ่งได้รับแต่งตั้งมาเป็นรมช.เกษตรและสหกรณ์ เพื่อผลักดันแนวทาง “เศรษฐกิจพอเพียง”ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ได้เร่งมือเรื่องนี้แล้ว โดยประชุมติดตามงานคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ คณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และกอ.รมน. เป็นต้น


สาระที่น่าสนใจคือได้มีการแต่งตั้งผู้นำการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง(นขพ.)ทุกจังหวัดจังหวัดละ 12 คน เป็นตัวแทนมหาดไทยในพื้นที่ 5 คน,กระทรวงเกษตรฯ 3 คนและ
คัดเลือกผู้นำท้องถิ่นมาร่วม 4 คน มีรองผู้ว่าฯเป็นประธาน รวม 77 จังหวัดทั่วประเทศมี นขพ.กว่า 900 คน ซึ่งผ่านการฝึกอบรมแนวเศรษฐกิจพอเพียงที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้องมา จะเป็นผู้นำการขับเคลื่อนของแต่ละจังหวัด ทั้งนี้ได้ลงพื้นที่ทำแผนกันแล้ว สอดรับกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ทุกแผนมีเป้าหมายให้คนไทยน้อมนำศาสตร์พระราชาไปใช้ดำเนินชีวิต โดยเฉพาะเกษตรกรที่เป็นรากฐานของประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ให้ได้

ขณะที่แผนปฏิรูปภาคเกษตรของกระทรวงก็บรรจุหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 8 ประเด็น ทั้งเรื่องการจัดการ“น้ำ” การจัดการ“ดิน” ฯลฯ คาด 2-3 เดือนนี้แผนปฏิรูปประเทศทั้ง 13 ด้านรวมทั้งแผนปฏิรูปภาคเกษตรฯจะเสร็จเรียบร้อย นำเข้าครม.ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีกรอบงบประมาณ มีระยะเวลาปฏิบัติที่ทุกหน่วยงานจะเดินตามแผนลงสู่พื้นที่ ตั้งแต่เดือน พ.ค.นี้ เป็นต้นไป

นับเป็นเรื่องที่ต้องจับตาติดตามดูการปฏิบัติดังกล่าว ด้วยความหวังอย่างยิ่งว่า จะทำกันอย่างจริงจังจนเกิดผลดีอย่างยั่งยืนต่อการพัฒนาภาคการเกษตรไทยเพื่อสืบสานให้เป็นไปตามพระราชปณิธานของในหลวง รัชกาลที่ 9 ตลอดไป

ส่วนอีกข่าวหนึ่ง...มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ที่มีม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เป็นเลขาธิการ ได้เสนอโครงการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้วยการพัฒนาแหล่งน้ำให้เกษตรกร โดยมูลนิธิจะเข้าไปพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กที่มีอยู่ 8,403 แห่ง ใน 69 จังหวัดทั่วประเทศ เป็นระบบชลประทานอันเนื่องมาจากพระราชดําริ 1,317 แห่ง และโครงการชลประทานขนาดเล็กของกรมชลประทานที่ถ่ายโอนภารกิจไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว 7,086 แห่ง

ปัจจุบันแหล่งน้ำเหล่านี้ส่วนใหญ่เสียหายจากอายุการใช้งานและภัยธรรมชาติ โครงการอันเนื่องจากพระราชดําริบางแห่งก็ยังไม่มีระบบกระจายน้ำเข้าแปลงเกษตร โดยเฉพาะโครงการที่ถ่ายโอนภารกิจไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เมื่อเกิดชํารุดเสียหาย หลายแห่งไม่ได้ตั้งงบฯซ่อมแซมและขาดบุคลากรด้านวิศวกรรมชลประทานที่จะเข้าไปปรับปรุงและเสริมประสิทธิภาพแหล่งน้ำ

คุณชายดิศนัดดาระบุว่า หากเริ่มซ่อมฝายเดือนม.ค.ตามที่เสนอ คาดส่วนใหญ่จะแล้วเสร็จทันช่วงฤดูฝนเดือนพ.ค. โดยผลศึกษาคาดจะใช้งบทั้งหมดไม่เกิน 20,000 ล้านบาท เพราะต้นทุนที่มูลนิธิปิดทองหลังพระฯเคยทำมาแล้ว 500 แห่ง ส่วนใหญ่ 80% ใช้งบฯราว 4 แสนบาทต่อ 1 แห่ง เท่านั้น 

“แค่ซ่อมแซมแล้วต่อท่อถึงชาวบ้านเสร็จ ใช้เวลา 3-6 เดือน ก็ส่งน้ำให้ได้ทันที เกษตรกรได้ประโยชน์เต็มที่ มีน้ำทำเกษตรนอกฤดูกาลได้ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการแก้ปัญหาเห็นผลรวดเร็ว ที่สำคัญเป็นการนำแหล่งน้ำทุกพื้นที่ของประเทศที่มีอยู่แล้ว มาใช้ประโยชน์เต็มประสิทธิภาพเพื่อเกษตรกรไม่ต้องเสียโอกาส ถ้าทำสำเร็จจะเกิดรายได้ในท้องถิ่นเพิ่ม 30,000-48,000 ล้านบาท และเกิดเงินหมุนในระบบอีก 12 เท่า” ซึ่งคุณชายดิศนัดดายืนยันว่า ในที่ประชุมร่วมกับอาจารย์ยักษ์และกรมต่างๆ เพื่อพิจารณาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผ่านงบกลางปีของรัฐบาลที่จะตั้งขึ้น 1.5 แสนล้านบาท ซึ่ง 4 หมื่นล้านบาท เป็นงบฯปฏิรูปภาคเกษตรนั้น กระทรวงเกษตรฯยืนยันพร้อมสนับสนุนตามที่ปิดทองหลังพระเสนอ

ทั้งเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงและข้อเสนอพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กนี้ ผมเห็นว่า เป็นการเดินตามแนวทางพระราชดำริ และน่าจะถือเป็นการ “ให้เบ็ด” กับ “สอนวิธีตกปลา” ซึ่งจะเกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนแก่เกษตรกร ไม่ใช่แค่เอา “ปลา” ไปให้แก้หิวชั่วครู่ แบบโครงการ “ประชานิยมแปลงรูป”ทั้งหลาย

สาโรช บุญแสง

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top