23 ม.ค.61 ที่อาคารสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ซ.รามคำแหง 39 ย่านบางกะปิ กรุงเทพฯ มีการจัดแถลงข่าว “อีก 15 ปีข้างหน้า อนาคตค่าใช้จ่ายสาธารณะด้านสุขภาพของไทยจะเป็นอย่างไร?” โดยนายณัฐนันท์ วิจิตรอักษร นักวิชาการ TDRI ผู้ทำการศึกษาประเด็นนี้ เปิดเผยว่า ในมุมหนึ่งต้องยอมรับกรณีการเกิดขึ้นของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ “30 บาทรักษาทุกโรค” ในปี 2545 ทำให้งบประมาณแผ่นดินที่ต้องใช้ในด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากอยู่ที่ประมาณร้อยละ 7-10 ของงบประมาณประเทศของแต่ละปี ในช่วงปี 2538-2544 เพิ่มเป็นเฉลี่ยร้อยละ 10-14 ของงบประมาณประเทศของแต่ละปี ตั้งแต่ปี 2545-2557
แต่อย่างไรก็ตามไม่อยากให้ไปเพ่งเล็งจุดนี้มากเกินไป เพราะงบประมาณด้านสาธารณสุขในแต่ละปีก็มีขึ้นมีลงทั้งช่วงก่อนและหลังมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า อีกทั้งเมื่อนำไปเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP พบว่าแม้จะเป็นช่วงหลังมีบัตรทอง 30 บาทแล้ว งบประมาณรายจ่ายด้านสาธารณสุขมีมูลค่าเพียงร้อยละ 2-3 ของ GDP ทั้งหมดของประเทศไทยเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ต้องยอมรับความสามารถของรัฐบาลไทยที่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายด้านนี้ไม่ให้แกว่งไปมามากเกินไป
ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร
นายณัฐนันท์ กล่าวต่อไปว่า แต่หากมองอนาคตที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยนไป โดยจากปี 2560 ที่ประเทศไทยมีประชากรวัยเด็ก อายุ 0-14 ปี ร้อยละ 17 วัยทำงาน อายุ 15-59 ปี ร้อยละ 66 และวัยชรา อายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 17 ในปี 2575 ประชากรวัยเด็กจะลดลงเหลือร้อยละ 14 วัยทำงานลดเหลือร้อยละ 58 แต่ประชากรวัยชราจะเพิ่มเป็นร้อยละ 29 เรื่องนี้สำคัญมากเพราะจากการคำนวณแล้วพบว่า งบประมาณแผ่นดินที่ต้องใช้ในด้านสาธารณสุขในปี 2575 หากใช้ค่าภาวะปกติทั่วไปจะอยู่ที่ 4.83 แสนล้านบาท แต่หากใช้ค่าสังคมสูงวัยจะเพิ่มสูงไปถึง 1.4 ล้านล้านบาท
“ข้อมูลตรงนี้เราได้จากหลายหน่วยงาน ที่สำคัญเลยคือค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลรายอายุ จากกรมบัญชีกลาง สำนักงานประกันสังคม แล้วก็ สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) เป็นข้อมูลตัวสำคัญที่เอามาใส่ในแบบทดลอง” นายณัฐนันท์ กล่าว
“ต่างกันเกือบ 3 เท่า” งบประมาณรายจ่ายด้านสาธารณสุขของไทย ปี 2575 เทียบการคำนวณระหว่างภาวะปกติกับภาวะสังคมสูงวัย
นายณัฐนันท์ ยังกล่าวอีกว่า สาเหตุที่ภาวะสังคมสูงวัยมีผลต่องบประมาณแผ่นดินที่ต้องใช้ในด้านสาธารณสุข มาจากหลากหลายโรคที่ผู้คนจะป่วยกันตอนอายุมากขึ้น หลักๆ คือกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs เช่น เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ ถุงลมโป่งพอง มะเร็ง และโรคอ้วน ซึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกไม่ควรมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบว่าแต่ละปีมีคนไทยเสียชีวิตจากโรคกลุ่มนี้ประมาณ 3 แสนคน อีกทั้งที่น่าห่วงคือการพบคนวัยทำงานป่วยเป็นโรค NCDs เพิ่มมากขึ้น
“เราพูดกันเยอะมากเรื่องสังคมผู้สูงอายุ แต่ยังไม่เห็นมาตรการชัดเจนทั้งเรื่องการรักษาพยาบาล หรือในเรื่องของการส่งเสริมป้องกันที่ชัดเจน เราเห็นแต่เพียงโรงพยาบาลของรัฐหลายแห่งมีเวทีให้เต้นแอโรบิก แน่นอนว่าการทำแบบนั้นสำหรับบางคนมันมีประโยชน์ แต่กับบางคนอาจจะไม่มีประโยชน์ ถ้าไปดูต่างประเทศเขาจะมีความหลากหลายพอสมควร เป็นแอโรบิกบ้างหรือกิจกรรมอื่นๆ บ้าง” นายณัฐนันท์ กล่าวย้ำ
นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล
ขณะที่ นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงนโยบายเก็บภาษีเครื่องดื่มผสมน้ำตาลของรัฐบาลไทยขณะนี้ว่า ยังไม่สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนรู้สึกอยากลดการบริโภคลงเมื่อเทียบกับนโยบายเดียวกันในต่างประเทศ แต่ที่น่าห่วงกว่าคือกลยุทธ์การตลาดของเครื่องดื่มกลุ่มนี้ โดยเฉพาะเครื่องดื่มบางประเภทที่ล่อตาล่อใจด้วยการเน้นการชิงโชคอย่างชัดเจน
“เครื่องดื่มบางประเภทมอมเมาคนจน ผมย้ำว่าคนจน มีชิงโชค มีแจกรถมีพาไปเที่ยว อันนี้ทำให้การบริโภคเกินความจำเป็น ดังนั้นภาษีความหวานของประเทศไทยยังมีโอกาสเพิ่มได้อีกเพื่อให้ถึงจุดที่ผู้บริโภคต้องชั่งน้ำหนัก” อดีตปลัด สธ. ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี