วันพฤหัสบดี ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568
น่าตกใจไม่น้อยกับผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนของ “กรุงเทพโพลล์” ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งได้ผลออกมาค่อนข้าง “เสียดแทง” หัวใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และค่อนข้างสะท้อนถึงการต้องก้าวเข้าสู่ภาวะ “ความเสื่อม” อย่างหนัก
โดยเฉพาะจากคำถามยที่ระบุว่า “วันนี้ยังจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่” ซึ่งแม้ส่วนใหญ่ร้อยละ 36.8 จะตอบว่า “สนับสนุน” แต่หากเทียบกับการสำรวจเมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 ซึ่งมีคนสนับสนุนถึงร้อยละ 52.8 จึงเท่ากับว่า คนรักบิ๊กตู่หายไปถึงร้อยละ 16 ทีเดียว ขณะที่คนโหวตว่า “ไม่สนับสนุน” ก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 34.8 จากเดิมที่มีเพียงร้อยละ 25.6 ซึ่งถือว่าน่าตกใจมาก สำหรับระยะเวลาเพียงแค่ 6 เดือนที่ทำให้หลายคนเปลี่ยนใจ “ไม่เอา” บิ๊กตู่ได้ถึงขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม แม้จะดูน่าตกใจ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจอะไร เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งจากการกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ รวมถึงพฤติกรรมของบรรดาบริวารรอบข้าง ก็ต่างชวนให้ชาวบ้านพากันเบ้ปากกันทั้งเมือง ยกตัวอย่างง่ายๆ แค่ 2 เรื่อง โดยไม่ต้องนับประเด็น “นาฬิกาหรู” ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่สั่นคลอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลได้อย่างรุนแรง
เรื่องแรกก็เมื่อคราวกลุ่มชาวบ้านที่คัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จ.สงขลา พากันออกเดินเท้าจากบ้านมาหา นายกฯ ที่กำลังเดินทางมาประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 27-28 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ทันเดินทางไปถึง ก็เจอทหารตำรวจดักสลายชุมนุมกันกลางทาง พร้อมจับชาวบ้านส่งดำเนินคดี 17 คนรวด ในข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่รัฐ พกพาอาวุธในที่สาธารณะ กีดขวางการจราจร และฝ่าฝืน พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ ฯลฯ
เหตุที่เกิดขึ้นคงไม่ต้องเสียเวลามานั่งถามต่อว่า วันนี้ชาวบ้านเหล่านี้ยังจะมีความศรัทธาเหลือให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้มากน้อยขนาดไหน
ขณะที่เรื่องต่อมาเพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ คือ กรณี คสช. ส่งลูกน้องไปแจ้งความจับประชาชนกลุ่ม “People Go” 8 คน ในฐานความผิดฐานมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยกล่าวหาว่าทั้ง 8 คนที่ร่วมกิจกรรม “We Walk” เดินมิตรภาพจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ไปยัง จ.ขอนแก่น ได้จัดชุมนุมมั่วสุมปราศรัยบิดเบือนโจมตีการทำงานของรัฐบาล
อ่านแล้วทำให้รู้สึกตั้งคำถามว่า เบื้องหลังการกระทำของ คสช. ครั้งนี้ มีเจตนาขัดขวางการเดินหรือไม่ และทำให้ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมศรัทธาที่มีต่อตัวนายกฯและคสช.ถึงได้เริ่มเสื่อมถอยลงได้รวดเร็วขนาดนี้ เพราะถ้าติดตามกันดีๆ จะทราบว่า 4 ประเด็นที่กลุ่ม We Walk ต้องการสื่อสารระหว่างการเดิน ซึ่งประกอบด้วย เรื่องหลักประกันสุขภาพ ความมั่นคงทางอาหาร สิทธิชุมชน และสิทธิทางการเมืองในรัฐธรรมนูญใหม่นั้น เป็นประเด็นที่ถูกนำมาพูดกันในทุกรัฐบาล
ที่สำคัญทุกประเด็นที่สื่อสารออกมา แม้มองเผินๆ อาจจะมีเฉี่ยวกับปมการเมืองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นประเด็นที่จะนำมาปลุกปั่น ปลุกระดม ให้คนเกลียดคนชังซึ่งกันและกัน หรือออกมาต่อต้านรัฐบาล เหมือนกับพวกกลุ่มจ้องฉวยโอกาสทางการเมืองกำลังทำอยู่เวลานี้
การเดินของกลุ่ม We Walk ในมุมของผม รู้สึกไม่ต่างจากการเดินเท้าของ “อ.ศศิน เฉลิมลาภ” จากกรณีเขื่อนแม่วงก์เลย นั่นคือการทำกิจกรรมเพื่อ “สื่อสาร” ต่อสาธารณะเกี่ยวกับปัญหาในสังคม แต่คสช.กลับทำตัวเหมือนหวาดระแวงไปเอง เหมือนกลัวว่าเขาจะเดินเพื่อล้มรัฐบาล ปลุกปั่นให้ล้ม คสช.
บรรทัดนี้จึงอยากเตือนไว้ว่า ยิ่งคสช.ระแวง ยิ่งคสช.ทำให้คนรู้สึกว่ามีการกลั่นแกล้งขัดขวางการทำกิจกรรมของภาคประชาชนมากเท่านั้น สุดท้ายระวังกระแสเหล่านี้จะตีกลับมาทำลาย คสช. เสียเอง ไม่เชื่อก็ลองไปเช็คดูสิครับว่ากระแสความไม่พอใจการกระทำของ คสช. คราวนี้มันเริ่มกรุ่นขึ้นมาอย่างไร
ดังนั้นสุดท้ายเมื่อถึงเวลาเสื่อมหนัก ก็ไม่ต้องไปโทษใครนะครับ คสช.ต้องโทษตัวเองอย่างเดียว
มะลิลา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี