เหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์เฮ! ตำรวจ-ธนาคาร-ปปง.คืนเงิน 16 ราย 3 ล้านบาท พร้อมออกหมายจับเพิ่ม 100 คนไทยร่วมแก๊ง “ปปง.”แฉอีกสุดแสบปลอมหมายศาลตุ๋นเหยื่อ
2 ก.พ.61 พล.ต.อ.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. และหัวหน้าศูนย์ ป้องกันปราบปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมตัวแทนจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) และ 4 ธนาคาร ได้มอบเงินคืนให้ผู้เสียหาย ครั้งที่ 6 จำนวน 16 ราย ในหลายพื้นที่อาทิ สน.ลุมพินี สน.พญาไท สน.คลองตัน สน.บางนา สภ.เมืองชุมพร สภ.เมืองอุบลราชธานี สภ.โพทะเล จ.พิจิตร เป็นต้น รวมเป็นเงินกว่า 3.2 ล้านบาท หลังอายัดเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงผู้เสียหายไปยังบัญชีคนร้ายได้ทัน
ขณะที่ผลการอายัดเงินของผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวง จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สามารถอายัดเงินคืนให้กับผู้เสียหายได้แล้ว 39 ราย รวมเป็นเงินกว่า 9,260,000 บาท
ด้านนายพีระพัฒน์ อิงพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการกองคดี 1 เป็นผู้แทนสำนักงาน ปปง. ร่วมกับผู้แทนธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ผู้แทนธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้แทนธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และผู้แทนธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ส่งมอบเงินของผู้เสียหายบางส่วนที่สามารถยับยั้งการถอนจากมิจฉาชีพได้ รอบที่ 3 จำนวนเงิน 1,481,548 บาท มอบแด่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เพื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้ดำเนินการบรรเทาความเสียหายให้กับประชาชน 6 ราย ที่ได้ความเดือดร้อน ซึ่งก่อนหน้ามีได้การส่งมอบเงินของผู้เสียหายบางส่วนที่สามารถยั้งยั้งการถอนจากมิจฉาชีพได้รอบที่ 1 เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2560 จำนวน 3 ราย เป็นเงิน 1,494,329 บาท และรอบที่ 2 เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2561 จำนวน 5 ราย เป็นเงิน 316,010 บาท รวมทั้ง 3 รอบ เป็นเงิน 3,291,887 บาท
สำหรับสถิติการเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตั้งแต่การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงาน ปปง. มีผู้แจ้งผ่านสายด่วน ปปง. 1710 ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 จนถึงปัจจุบัน (1 ก.พ.61) มีผู้เสียหายหลงเชื่อและโอนเงิน จำนวน 210 ราย เหตุเกิดแล้วรีบแจ้ง 88 ราย เหตุเกิดแล้วแจ้งภายหลัง 122 ราย รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 81,517,259.53 บาท สามารถยับยั้งและช่วยเหลือได้จำนวน 33 ราย มูลค่ารวม 15,189,532.08 บาท
นายพีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบของ ปปง.พบ ปริมาณของผู้ถูกหลอกลดลง ส่วนหนึ่งเกิดจากการประชาสัมพันธ์ ที่เข้าถึงประชาชนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ประชาชนตื่นตัว เมื่อทราบว่าตัวเองถูกหลอกจะแจ้งกับเจ้าหน้าที่รวดเร็วขึ้นทำให้การช่วยเหลือ และอายัดเงินรวดเร็วขึ้นเช่นกัน แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้กลโกงของคนร้าย มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ เช่นการใช้เอกสารปลอมทางราชการส่งตรงถึงบ้าน จึงฝากเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ ควรตรวจสอบที่มาที่ไปของเบอร์โทรศัพท์หรือเอกสารต้องสงสัย ที่ให้มีการโอนเงินไปบัญชีอื่น เพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี
อย่างไรก็ตาม หากประชาชน รู้ว่าตัวเองถูกหลอก สามารถร้องขอความช่วยเหลือมาได้ที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1155 หรือ 1710 หรือ หมายเลข 191
“ประชาชนท่านใดถูกแก๊งมิจฉาชีพ โทรศัพท์มาหลอกลวง ขอให้รีบแจ้งไปยัง ศปก.ปปง. โดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้สามารถระงับยับยั้ง การถอนเงินของกลุ่มมิจฉาชีพได้อย่างทันท่วงที โดยโทรศัพท์แจ้งเหตุมาที่ ศปก.ปปง.(สายด่วน ปปง. 1710) และขอแจ้งเตือนประชาชนขณะนี้มีการหลอกลวงโดยใช้ ID LINE ปลอมของ พลตำรวจตรี รมย์สิทธิ์ วีริยาสรร รักษาราชการแทนเลขาธิการ ปปง. ไม่ติดต่อกับประชาชนผ่านช่องทาง LINE อย่าหลงเชื่อโดยเด็ดขาด” นายพีระศักดิ์ กล่าว
นายพีระศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ขอแจ้งเตือนการหลอกลวงอีกรูปแบบหนึ่ง โดยกลุ่มมิจฉาชีพกระทำการปลอมแปลงหมายศาลส่งไปถึงประชาชน ซึ่งกลุ่มมิจฉาชีพมักจะอ้างว่าผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือการฟอกเงิน เพื่อหวังผลข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน โดยอ้างว่าหากผู้เสียหายต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์จะต้องนำหลักฐาน เช่น โฉนดที่ดิน บ้าน รถ สมุดบัญชีธนาคาร ส่งมาให้ตรวจสอบ ทำให้ผู้เสียหายตกใจกลัวจนหลงเชื่อและต้องสูญเสียเงินเป็นจำนวนมากสำนักงาน ปปง. ขอเรียนแจ้งเตือนให้ทราบว่า เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ตกเป็นเหยื่อกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าว ขอให้ท่านอย่าหลงเชื่อเมื่อได้รับหมายศาลปลอมดังกล่าว หากมีกรณีสงสัยขอให้รีบสอบถามโดยตรงที่ศาล หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ หรือติดต่อมายังศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงาน ปปง. สายด่วน ปปง. 1710
ส่วน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว(รอง ผบช.ทท.) กล่าวว่า สถานการณ์ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขณะนี้ถือว่าเบาบางลง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังร่วมกันกวาดล้างขบวนการดังกล่าวอย่างจริงจัง มีการทลายเครือข่ายรายสำคัญที่ประเทศมาเลเซีย ที่หลอกคนไทยในประเทศไทย รวมทั้งประสาน กสทช.บล็อกเบอร์โทรศัพท์ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่โทรหลอกประชาชน
ส่วนกรณีที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ช่องทางนำเงินไปลงทุนโดยโอนเข้าระบบสกุลเงินดิจิทัล สกุลบิทคอยน์นั้น ตำรวจได้เสนอไปยังรัฐบาลให้พิจารณาเพิ่มกฎหมายในการควบคุมสกุลเงินดิจิทัลแล้ว อีกทั้งยังประสานกับ5บริษัทตัวกลางบิทคอยน์ในประเทศไทยด้วย เพื่อช่วยตรวจสอบและอายัดก่อนที่เงินจะถูกโอนไปยังต่างประเทศ เพราะหากเงินถูกโอนเข้าสู่ระบบกลางในต่างประเทศ จะไม่สามารถอายัดได้
“นอกจากนี้ ยังดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน เสนอขอศาลอนุมัติหมายจับ คนไทย ที่รับจ้างเปิดบัญชีให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งมีอีกกว่า 100 คน” รอง ผบช.ทท.กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี