กรณีจำเลยเข้าไปในเคหสถาน หรือบ้านเรือนของผู้เสียหายที่มีการติดกล้องวงจรปิด บางทีก็เป็นคุณกับจำเลย เช่นในกรณีนี้ จำเลยตั้งใจจะไปลักเงินหรือของมีค่าผู้เสียหาย โดยการไปรื้อค้นกระเป๋าเงินใบเล็กใบใหญ่กระจุยกระจายเกลื่อนบ้าน แล้วผู้เสียหายแจ้งความว่าเงินหายไปจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท โดยผู้เสียหายมีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพขณะที่จำเลยเข้าไปรื้อค้นหาเงินและของมีค่าในเคหสถาน หรือบ้านของผู้เสียหาย แต่ศาลได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพจำเลยได้นั้น ไม่เชื่อว่าจำเลยได้เงินจำนวนดังกล่าวไป จึงลงโทษเพียงฐานพยายามลักทรัพย์ตาม มาตรา ๓๓๕ ซึ่งมีหลักกฎหมายว่า “ผู้ใดลักทรัพย์ (๘) ในเคหสถาน สถานที่ราชการหรือสถานที่ที่จัดไว้เพื่อให้บริการสาธารณะที่ตนได้เข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือซ่อนตัวอยู่ในสถานที่นั้นๆ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท”
ประกอบกับมาตรา ๘๑ ซึ่งกฎหมายบัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำการโดยมุ่งต่อผลซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดแต่การกระทำนั้นไม่สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำหรือเหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อให้ถือว่าผู้นั้นพยายามกระทำความผิด แต่ให้ลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ถ้าการกระทำดังกล่าวในวรรคแรกได้กระทำไปโดยความเชื่ออย่างงมงาย ศาลจะไม่ลงโทษก็ได้”
ทั้งนี้ เป็นไปตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๑๕๓/๒๕๕๗ “โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหาย แล้วลักเงิน ๒๐,๐๐๐ บาทซึ่งอยู่ในกระเป๋าสะพายของผู้เสียหายไป ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วรื้อค้นลิ้นชักพลาสติกที่เชิงบันได โดยเมื่อค้นในลิ้นชักอันบนสุดพบกระเป๋าสะพายและกระเป๋าสตางค์ใบเล็ก จำเลยก็ดึงออกมาจากลิ้นชักแล้วค้นหาสิ่งของในกระเป๋าสะพายและกระเป๋าสตางค์ดังกล่าว จากนั้นจำเลยเดินขึ้นบันไดไปบนระเบียงชั้นบนของบ้านและค้นหาสิ่งของที่กองเครื่องมือของใช้ที่วางอยู่บนระเบียงเป็นเวลานาน แล้วกลับลงไปรื้อค้นหาสิ่งของที่ลิ้นชักพลาสติกชั้นอื่นทุกลิ้นชัก เห็นได้ว่า จำเลยมีเจตนาค้นหาเงินและของมีค่าอื่นในจุดที่จำเลยคาดว่าผู้เสียหายหรือบุคคลในครอบครัวผู้เสียหายน่าจะเก็บหรือซุกซ่อนไว้ ฟังได้ว่ามีเจตนาค้นหาและประสงค์จะลักเงินของผู้เสียหายไปนั่นเอง ถือว่าจำเลยได้ลงมือกระทำความผิดและกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเพราะไม่มีเงินที่จะลักอยู่ในกระเป๋าสะพายและจุดรื้อค้น การกระทำ ของจำเลยจึงเป็นการพยายามลักเงินของผู้เสียหาย แต่การกระทำไม่อาจบรรลุผลได้อย่างแน่แท้เพราะเหตุวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อเป็นการพยายามกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๘) วรรคแรกประกอบมาตรา ๘๑”
ข้อสังเกตคดีนี้ศาลฎีกาไม่ลงโทษจำเลยฐานพยายามลักทรัพย์ตามมาตรา ๘๐ ซึ่งต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายบัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นอันมีโทษหนักกว่ามาตรา ๘๑ เพราะการกระทำของจำเลย ไม่ใช่กรณีกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล หากแต่ในคดีนี้ การกระทำของจำเลยไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามมาตรา ๘๑ เพราะเงินในกระเป๋าสตางค์ของผู้เสียหายไม่มีนั่นเอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี