ตำรวจรวบหนุ่มใหญ่เปิดบริษัทให้บริการโทรศัพท์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต หรือ VoIP ซวยโจรใต้เช่าโทร.ขู่“บึ้มดอนเมือง” เตรียมบี้อีก 500 บริษัท สกัด“แก๊งคอลเซ็นเตอร์”ใช้ช่องตุ๋นเหยื่อ
13 ก.พ.61 ที่ สน.ดอนเมือง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว(รอง ผบช.ทท.) พร้อมด้วย นายพิชัย สุวรรณกิจบริหาร ผอ.สำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม สำนักงาน กสทช. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ทท. , สน.ดอนเมือง และเจ้าหน้าที่ กสทช. ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นายอมรรัตน์ สนธิไทย อายุ 46 ปี เจ้าของบริษัท ทูเอพลัส จำกัด ตั้งอยู่ใน ซ.ลาดพร้าว 101 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ซึ่งเปิดบริษัทให้บริการโทรศัพท์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต หรือระบบ VoIP (Voice over Internet Protocol) แต่ไปให้บริษัทอื่นเช่าช่วงต่อ ซึ่งถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม 2544 มาตรา7(1) และมาตรา67(1) ข้อหาประกอบกิจการโทรคมนาคมประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติ(ตร.) ดําเนินการปราบปรามกลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่กระทําความผิด และส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพฤติการณ์ใช้โทรศัพท์หลอกลวงประชาชน โดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และกลุ่มคนร้ายที่ใช้โทรศัพท์โทร.ข่มขู่ว่าจะเกิดเหตุร้ายต่างๆ ตามสถานที่สําคัญของประเทศ เพื่อสร้างความหวาดกลัว ให้กับประชาชน ในการดําเนินชีวิตอย่างปกตินั้น จากการสืบสวนแผนประทุษกรรมของคนร้ายกลุ่มนี้ พบว่า จะใช้บริการ VoIP ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่สําหรับการสื่อสารทางโทรศัพท์ โดยไม่จําเป็นที่จะต้องใช้ชุมสายโทรศัพท์ก็สามารถโทรได้ทั่วโลก
รอง ผบช.ทท. กล่าวต่อว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2561 เวลาประมาณ 16.45 น.ได้มีคนร้ายน้ำเสียง เป็นชายอายุ 35-40 ปี พูดภาษาไทย สําเนียงภาคใต้ โทร.มาข่มขู่ที่สนามบินดอนเมือง โดยหมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฏบนหน้าจอของการท่าอากาศยานดอนเมือง คือ 02-153-9514 ข่มขู่วางระเบิดในสนามบิน และวันที่ 17 ม.ค.2561 เวลาประมาณ 11.30 น.ได้มีคนร้ายน้ำเสียงเป็นชาย อายุประมาณ 35 ปี พูดภาษาไทย สําเนียงภาคใต้ โทร.มาข่มขู่ที่สนามบินดอนเมือง โดยหมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฏบนหน้าจอของการท่าอากาศยานดอนเมือง คือ 053-106-247 ข่มขู่วางระเบิดในสนามบิน
จากนั้นสํานักงานตํารวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตํารวจ บช.ทท. , บช.น. , สน.ดอนเมือง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายในคดีนี้มาดําเนินคดีโดยเร็ว ซึ่งจากการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ที่คนร้ายใช้โทร.ข่มขู่ดังกล่าวทําให้ทราบว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทแห่งหนึ่งที่เช่าหมายเลขโทรศัพท์ และสัญญาณโทรศัพท์มาจาก บริษัท ทีโอที จํากัด(มหาชน) และเมื่อเช่ามาแล้ว ก็ให้เช่าหมายเลขโทรศัพท์แก่บุคคลหรือบริษัททั่วไป ทั้งในและต่างประเทศอีกทอดหนึ่ง ซึ่งตามกฎหมายไม่สามารถทำได้ และทำให้การหาตัวคนร้ายเป็นไปได้ยากขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบลักษณะการให้บริการของบริษัทดังกล่าว ดําเนินการโดยเช่าใช้ซิมการ์ด จาก บริษัท ทีโอที จํากัด(มหาชน) แล้วให้เช่าช่วงต่อกับบริษัทอื่น นําไปใช้กับอุปกรณ์แปลงสัญญาณโทรศัพท์ เคลื่อนที่ระบบจีเอสเอ็ม เพื่อให้สามารถ รับ-ส่ง ข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยใช้ SIP Server ที่เช่ามาเชื่อมต่อกับ SIP Server ของผู้ให้บริการรายอื่น ทั้งในและต่างประเทศ แล้วจึงแปลงสัญญาณจาก VoIP เพื่อเชื่อมต่อสัญญาณเข้ากับชุมสายโทรศัพท์ของผู้ให้บริการภายในประเทศที่ได้รับอนุญาต เพื่อติดต่อไปยังหมายเลขปลายทางต่อไปนั้น ถือว่าเป็นการให้บริการในลักษณะ Call Termination (VoIP Termination) อันเป็นการให้บริการโทรคมนาคม ซึ่งต้องได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมทางสํานักงาน กสทช.
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบแล้วยืนยันว่า บริษัทดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตในการประกอบกิจการโทรคมนาคมแต่อย่างใดอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 มาตรา 7 (1) และมาตรา 67 (1) ข้อหาประกอบกิจการโทรคมนาคมประเภทที่ 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต”(ไม่มีโครงข่าย ให้บริการเสียง, ข้อมูล, พหุสื่อ แก่บุคคลทั่วไป ทั่วประเทศ) อัตราโทษ “ปรับไม่เกิน 100,000 บาท”
“ทางสํานักงาน กสทช. สํานักงานตํารวจแห่งชาติ จะทําการตรวจสอบบริษัทผู้กระทําผิดในลักษณะเช่นนี้ทุกราย เพื่อบรรเทาปัญหาการที่คนร้ายใช้ช่องทางนี้กระทําผิด หลบเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ และให้ทุกบริษัทที่เกี่ยวข้องดําเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อแก้ไข ปัญหานี้อย่างจริงจังต่อไป โดยเบื้องต้นพบว่ามีบริษัทที่ทำธุรกิจดังกล่าว 500 กว่าแห่ง ก็จะต้องเชิญมาพูดคุยทำความเข้าใจกันต่อไป เพราะคนร้าย ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็อาจใช้บริการ VoIP ในการหลอกลวงประชาชนด้วย” รอง ผบช.ทท. กล่าว
ด้านนายพิชัย กล่าวว่า คดีนี้ กสทช.เป็นผู้เสียหาย เข้าร้องเรียนกับทางพนักงานสอบสวน สน.ดอนเมือง เพื่อดำเนินคดีกับบริษัทดังกล่าว ส่วนการมีกล่องแปลงสัญญาณเครือข่ายโทรศัพท์ หรือกล่องซิมล็อกนั้นต้องเป็นไปตามกฎหมาย ไม่สามารถพกพาหรือนำเข้าได้เอง เพราะจะถือว่ามีความผิดทันที
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า กสทช.ไม่อาจตรวจสอบบริษัทที่ทำธุรกิจ VoIP ได้หมด เนื่องจากมีจำนวนมาก แต่อยากให้ทุกฝ่ายโดยเฉพาะบริษัทที่ให้บริการ VoIP ตระหนัก อย่าไปคิดให้บริการเพียงอย่างเดียว อยากให้ตรวจสอบว่าอีกฝ่ายเกี่ยวข้องในธุรกิจผิดกฎหมายหรือไม่ด้วย
“ผู้ต้องหารับสารภาพให้การว่าเปิดบริษัทเพื่อวางระบบโครงข่าย VoIP ให้กับบริษัททั่วไป ทำมาแล้ว 3 ปี ทราบว่าคนร้ายเช่าช่วงสัญญาณต่อในราคา 80 สตางค์ต่อนาที เฉลี่ยเดือนละ 20,000 บาท โดยตรวจสอบเพียงแค่บริษัทตั้งอยู่ที่ใด และขอชื่อสกุลจริงผู้เช่าช่วงต่อเท่านั้น ไม่ทราบมาก่อนว่าการให้เช่าช่วงสัญญาณต่อนั้นผิดกฎหมายและจะไม่ทำอีกต่อไปเด็ดขาด” นายพิชัย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี