เผยศาลจังหวัดพัทยานัดไต่สวนคดีนักธุรกิจสาวถูก 'บิ๊กดีเอสไอ' ลวงข่มขืน 5 มี.ค.นี้ หลังสาวเหยื่อมอบอำนาจทนายความเป็นโจทก์ฟ้องถูกลวงมาข่มขืนที่คอนโด ย่านจอมเทียน แถมข่มขู่ อัดคลิปแบล็คเมล์ ด้านโฆษก ยธ.เผยกระทรวงสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงแล้ว เริ่มสอบสัปดาห์หน้า ด้านกองปราบฯ จ่อเรียกสอบปากคำซ้ำ
วันนี้ (16 ก.พ.61) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สาวพร้อมทนายความ เข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม (บก.ป.) เพื่อร้องขอความเป็นธรรมกรณีถูกข้าราชการระดับซี 9 ยศ "พ.ต.ต." สังกัดกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ข่มขืน พร้อมขู่จะนำภาพลับไปเผยแพร่ เมื่อปี 2559 และยังมีพฤติการณ์โทรศัพท์มาข่มขู่เรียกเงิน 2 ล้านบาท และขอมีเพศสัมพันธ์อีก หากไม่ยอมจะนำคลิปไปโพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย โดยผู้เสียหายได้มอบอำนาจให้ทนายความเป็นโจทก์ยื่นฟ้องไว้ข้าราชการรายนี้ ที่ศาลจังหวัดพัทยาแล้ว ซึ่งศาลจังหวัดพัทยา รับคำฟ้องคดีไว้พิจารณา และนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์วันที่ 5 มี.ค.นี้เวลา 13.30 น.
สำหรับคำฟ้องของผู้เสียหายที่ได้มอบอำนาจให้ทนายความเป็นโจทก์ยื่นฟ้องเจ้าหน้าระดับ 9 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดพัทยา ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา โดยมี และใช้อาวุธปืน ตาม ป.อาญา มาตรา 276 โดยคำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อเดือน พ.ย.58 โจทก์รู้จักจำเลยที่วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
โดยมีเพื่อนในกลุ่มปฏิบัติธรรมแนะนำ จากนั้นก็เข้ากลุ่มเฟซบุ๊กและไลน์ โดยนัดกันจะไปทำบุญที่วัดละหารไร่ (หลวงปู่ทิม) จ.ระยอง ซึ่งจำเลยอ้างว่า จะแนะนำพระศักดิ์สิทธิ์ และเครื่องบูชาต่างๆ มาให้โจทก์ดู พร้อมกับรูปพระบรมฉายาลักษณ์ของพ่อหลวงรัชกาลที่ 5 เพราะจำเลยทราบว่า โจทก์รักและศรัทธาท่านมาก
จากนั้น ก็นัดแนะโจทก์กับเพื่อนๆ ให้ไปพบที่ปั๊มน้ำมัน ปตท.สุขุมวิท เส้นทางพัทยามุ่งหน้าสัตหีบ ในเวลา 13.00 น. แต่จำเลยขับรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีทอง มาถึงก่อนเวลานัดราว 10.00 น. อ้างว่า ไม่ค่อยรู้จักเส้นทาง ซึ่งยังมีเวลาเหลืออีกเยอะ จึงขอให้โจทก์พาจำเลยไปคอนโดฯ ย่านจอมเทียน พัทยา จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นของโจทก์ก่อนก็ได้ เพื่อที่จำเลยจะได้พาไปสวดขอขมากรรมที่ถูกวิธี และให้บุญแก่ดวงวิญญาณคุณย่าทวด ของโจทก์ก่อน ซึ่งจำเลยอ้างว่า สามารถสัมผัสได้ ทำให้โจทก์หลงเชื่อ จึงให้จำเลยขับรถตามมาที่คอนโดฯโจทก์
เมื่อไปถึงจำเลยได้นำพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 5 ไปแขวน และสวดอัญเชิญ จากนั้นได้ขอจับมือโจทก์ อ้างว่า เชื่อในสัมผัสบางสิ่งบางอย่างได้ ก่อนใช้กำลังปลุกปล้ำกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่โดยโจทก์ไม่ยินยอม และเกิดความกลัว เนื่องจากจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวมาด้วย ทั้งนี้ จำเลยยังใช้โทรศัพท์ถ่ายคลิปขณะร่วมเพศไว้ด้วย
หลังจากเกิดเหตุ จำเลยก็ไลน์มาหาโจทก์ เรียกโจทก์ว่าเมีย และข่มขู่ว่า หากไม่ยอมให้ร่วมประเวณีอีกจะเผยแพร่คลิป จึงทำให้โจทก์ต้องจำตกเป็นหญิงที่สนองความใคร่จำเลยตลอดมา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการข่มขืนโดยมีอาวุธปืน โจทก์จึงขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย ศาลจังหวัดพัทยา รับคำฟ้องคดีไว้พิจารณา และนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์วันที่ 5 มี.ค.นี้เวลา 13.30 น.
(ข้อมูลเดลินิวส์ออนไลน์)
ยธ.สั่งตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง
ด้านนายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) กล่าวว่า กรณีนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สาว พร้อมทนายความ เข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม (บก.ป.) เพื่อร้องขอความเป็นธรรมกรณีถูกข้าราชการระดับซี 9 สังกัดกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ข่มขืน พร้อมขู่จะนำภาพลับไปเผยแพร่ เมื่อปี 2559 และยังมีพฤติการณ์โทรศัพท์มาข่มขู่เรียกเงิน และขอมีเพศสัมพันธ์อีก และหากไม่ยอมจะนำคลิปไปโพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย จนเกิดความเครียดจนต้องหนีไปต่างประเทศ แต่ยังถูกแฮกเบอร์โทรศัพท์ เฟซบุ๊ก และอีเมล์ มาเยาะเย้ยตลอดเวลา จนทำให้เจ้าตัวทนไม่ไหว จึงนำเรื่องร้องเรียนกับอธิบดีดีเอสไอต้นสังกัด และได้มีการตั้งกรรมการสอบสวน แต่เรื่องก็เงียบไปโดยทราบว่า ผลสอบสรุปมีความผิดเล็กน้อยลงโทษ แค่ตัดเงินเดือน ซึ่งไม่เป็นธรรม จึงให้ทนายฟ้องศาลจังหวัดพัทยาในคดีข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวอีกว่า ตามผู้บังคับบัญชาที่มีอํานาจแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนหรือสอบสวนตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญระดับสูง จึงเป็นอำนาจของปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รายงานมายังปลัดกระทรวงยุติธรรมว่า ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงไปแล้วตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธุ์ 2561 และได้แจ้งคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหา ลงนามรับทราบคำสั่งแล้วตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561
ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการรวบรวมพยานหลักฐานจากผู้ถูกกล่าวหา และวางแนวทางการกำหนดประเด็นการสอบสวน ซึ่งดูตามตารางการปฏิบัติงานของคณะกรรมการฯ แล้วจะเริ่มประชุมนัดแรกในสัปดาห์หน้า และถ้าหากมีพยานหลักฐานชัดเจน ไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อนหรือประเด็นข้อกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง กระบวนการสอบสวนทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายใน 180 วันตามที่กฎหมายกำหนด
"ตามนโยบายของกระทรวงยุติธรรม ถ้าหากข้อกล่าวหาของข้าราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมนั้น เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจหน้าที่หรือเป็นอุปสรรคในการสอบสวน กระทรวงฯ ก็สามารถมีคำสั่งให้พักราชการข้าราชการดังกล่าวไว้ก่อนก็ได้ ซึ่งจากการพิจารณาเบื้องต้น กรณีดังกล่าว มิได้เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจหน้าที่ทางราชการ และยังไม่พบว่าเป็นอุปสรรคในการสอบสวนทางวินัยแต่ประการใด อย่างไรก็ตาม ถ้ามีประเด็นดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้นมาในระหว่างการสอบสวนฯ ก็สามารถมีคำสั่งพักราชการไว้ก่อนได้เช่นเดียวกัน" รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าว
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การดำเนินการสอบวินัยร้ายแรงดังกล่าว มิได้เกี่ยวข้องกับการแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด แต่เป็นการดำเนินการทำคู่ขนานกันไป ซึ่งถ้าหากผลการสอบสวนวินัยร้ายแรงเป็นการกระทำความผิดตามข้อกล่าวหาจริง โทษวินัยร้ายแรงจะมี 2 สถาน คือ ปลดออก ซึ่งเป็นการลงโทษให้พ้นจากราชการ โดยได้รับบําเหน็จบํานาญเสมือนผู้นั้นลาออกจากราชการ หรือไล่ออก ซึ่งเป็นการลงโทษให้พ้นจากราชการ โดยไม่ได้รับบําเหน็จบํานาญ แต่ถ้าหากผู้ถูกกล่าวหาต้องคำพิพากษาให้จำคุกก็จะต้องไล่ออกสถานเดียว การลงโทษเพียงแค่ตัดเงินเดือนตามประเด็นข่าว จึงไม่ใช่เป็นข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตามกระทรวงยุติธรรมก็จำเป็นต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกร้องด้วยเช่นกัน และขอยืนยันว่า จะเร่งดำเนินการภายใต้กรอบเวลาของกฎหมาย
ปลัด ยธ.สั่งตั้งกรรมการสอบแล้ว
ด้าน พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้แจงในกรณีเดียวกันว่า สาวนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายดังกล่าว ได้เคยเข้ามาร้องขอความเป็นธรรมต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว เมื่อต้น ก.พ.60 แต่เนื่องจากผู้ถูกร้องเรียนเป็นข้าราชการระดับ 9 (เชี่ยวชาญ) ดังนั้น การพิจารณาดำเนินการทางวินัย จึงอยู่ในอำนาจของปลัดกระทรวงยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้รายงานไปยังปลัดกระทรวงยุติธรรมเพื่อโปรดพิจารณา โดยปลัดกระทรวงยุติธรรมมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เมื่อ เม.ย.60
ล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ.61 กระทรวงยุติธรรมได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงกับข้าราชการรายดังกล่าวแล้ว โดยอยู่ระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการ ส่วนที่ผู้เสียหายได้ไปใช้สิทธิฟ้องคดีอาญาเองที่ศาลจังหวัดพัทยา และขอความเป็นธรรมต่อกองบังคับการปราบปราม ก็เป็นส่วนของคดีอาญาที่สามารถทำได้ อีกส่วนหนึ่งสำหรับการสอบสวนในส่วนของความผิดทางวินัยเรื่องนี้ก็ต้องนำผลของคดีอาญามาประกอบการพิจารณาด้วย ซึ่งต้องทำความจริงให้ปรากฏและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เมื่อมีความคืบหน้าของผลการสอบสวนทางวินัยเป็นประการใดแล้ว กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะได้แจ้งผลให้สาธารณชนทราบต่อไป
กองปราบฯ จ่อเรียกสอบปากคำ
ด้านญาติสาวนักธุรกิจผู้เสียหาย เปิดเผยว่า หลังหลานสาว ซึ่งเป็นผู้เสียหายให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนกองปราบฯ พร้อมมอบหลักฐานที่เป็นทั้งข้อความแชทผ่านแอพลิเคชั่นไลน์ ในลักษณะที่นัดเจอ และข่มขู่ รวมถึงรูปถ่ายที่ทางฝ่ายตรงข้ามนำไปแบล็คเมล์แล้ว ทราบว่า ทางพนักงานสอบสวนจะเรียกคู่กรณีมาให้ปากคำต่อไป
ทั้งนี้ ครอบครัวตนขอยืนยันว่า เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นจริง มีการข่มขู่ และบังคับขืนใจจริง และที่ผ่านมาหลานสาวเครียด และเกรงกลัวมาก เพราะคู่กรณีมีอำนาจและเป็นที่รู้จัก ทั้งยังคอยตามก่อกวน รังควาน กระทั่งล่าสุดมีการร้องศาลเพื่อดำเนินคดีกับพวกเราในข้อหาชู้สาว ทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงอีก โดยก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ตัดสินว่า หลานสาวตนมีความผิดจริง ซึ่งทางคู่กรณีได้นำหลักฐานที่เป็นภาพจากกล้องมือถือที่บังคับให้หลานสาวถ่ายคู่ด้วย ประกอบกับหลักฐานในที่เกิดเหตุอื่นๆ ที่ได้มาโดยมิชอบ ทางตนจึงกำลังเร่งรวบรวมหลักฐานยื่นฟ้องต่อศาลในชั้นฎีกาเพิ่มเติม
ญาติผู้เสียหาย ยืนยันว่า ตอนนี้รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาก หลังเมื่อวันที่ 15 ก.พ.61 ที่ผ่านมา ทางดีเอสไอ ออกมายืนยันว่า เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ได้ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังกระทรวงยุติธรรม และมีการตั้งคณะกรรมสืบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว แสดงให้เห็นว่าคดีมีความคืบหน้าไปมาก และหวังว่า ทางกองปราบปราม จะสามารถช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้ครอบครัวได้
รายงานข่าว ระบุว่า ทางผู้เสียหายได้แจ้งความดำเนินคดีกับคู่กรณีไว้ที่ สภ.พัทยา จ.ชลบุรี ในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวและบังคับขู่เข็ญข่มขืนใจ โดยเบื้องต้นพนักงานสอบสวนทำสำนวนสรุปสั่งไม่ฟ้องส่งให้อัยการศาลจังหวัดพัทยาแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการ
ขณะที่ พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ ผกก.1 บก.ป. กล่าวว่า ได้รับรายงานจาก พ.ต.ท.สมเดช สาระบรรณ์ สารวัตร กก.1 บก.ป. เจ้าของคดี ว่าจะสรุปสำนวนในส่วนคดีที่ผู้เสียหายมาแจ้งความทั้งหมด ก่อนส่งให้พนักงานสอบสวน กก.2 บก.ป. ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่พัทยา จ.ชลบุรี ดำเนินการต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี