อาชีพการเลี้ยงโคนมนับเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่สร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกรไทย และเป็นอาชีพที่น่าภาคภูมิใจ เนื่องจากเป็นอาชีพพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งที่พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปประเทศเดนมาร์ก ในปี 2503 ได้ทอดพระเนตรกิจการโคนมของเกษตรกรชาวเดนมาร์ก ทรงให้ความสนพระทัยเกี่ยวกับกิจการการเลี้ยงโคนมของชาวเดนมาร์กเป็นอย่างมาก ด้วยทรงเล็งเห็นว่าอาชีพการเลี้ยงโคนมจะช่วยให้ชาวไทยได้บริโภคอาหารที่มีคุณค่า ทั้งยังช่วยให้เกษตรกรไทยได้มีอาชีพที่มั่นคงและเป็นหลักแหล่ง ไม่ต้องบุกรุกทำไร่เลื่อนลอยอีกต่อไป และทรงมีพระราชดำรัสในคราวหนึ่งว่า “การเลี้ยงโคนมก็เป็นอาชีพที่ดีสำหรับคนไทย เหมาะกับประเทศ และถ้าใช้หลักวิชาที่เหมาะสม ก็จะทำให้มีความเจริญและมีรายได้ดี”
โครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมในประเทศไทยจึงได้เริ่มต้นขึ้น ในปี 2505 รัฐบาลประเทศเดนมาร์คได้ถวายโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคนม โดยได้ส่งคณะผู้เชี่ยวชาญมาทำการศึกษาความเป็นไปได้ของการเลี้ยงโคนมของประเทศไทย และสำรวจพื้นที่ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย พบว่าอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี มีความเหมาะสมที่สุด เพราะเป็นสถานที่เป็นหุบเขาสวยงาม มีแหล่งน้ำสะอาด และไม่ไกลจากตลาดกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงได้ทรงสถาปนาศูนย์ฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมไทย-เดนมาร์กขึ้นที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เพื่อส่งเสริมเกษตรกรหันมายึดอาชีพการเลี้ยงโคนมเพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน
กรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานสำคัญในการขับเคลื่อนสืบสานอาชีพการเลี้ยงโคนม เพื่อสืบสานแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งได้ทรงมีพระกระแสรับสั่งเมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นมของสหกรณ์โคนมปากช่อง จำกัด จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2557 ความว่า “ต้องปลูกฝังลูกหลานสมาชิกให้รักอาชีพการเลี้ยงโคนม มีผู้สืบทอดอาชีพการเลี้ยงโคนมและมีการอบรมส่งเสริมความรู้ในการเลี้ยงโคนม”
นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมา กรมฯได้จัดอบรม เพิ่มขีดความสามารถทายาทและยุวชนเกษตรกรโคนมในการเลี้ยงโคนมเพื่อเพิ่มผลผลิตฟาร์มโคนมที่ปฏิบัติได้และเป็นผลจริง ซึ่งร่วมกับคณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน และคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น อบรมความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงและดูแลโคนมให้มีคุณภาพ โดยดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นเวลา 3 ปี รวม 7 รุ่น และยังมีโครงการความร่วมมือทางการศึกษาเพื่อสานต่ออาชีพพระราชทาน ร่วมกับ ทั้ง 2 มหาวิทยาลัย จัดสรรทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน 10.080 ล้านบาท ให้บุตรสมาชิกสหกรณ์โคนมเข้ารับการศึกษาสาขาสัตวศาสตร์และสัตวแพทย์ศาสตร์ ในระดับปริญญาตรี รวม 14 ทุน ในปีการศึกษา 2561 เพื่อจะได้นำความรู้กลับมาพัฒนาฟาร์มและสหกรณ์โคนมของตนเองให้มั่นคงก้าวหน้ายิ่งขึ้น
นอกจากนี้ กรมยังได้เชิญชวนให้ขบวนการสหกรณ์โคนมร่วมใจน้อมเกล้าฯ ถวายโคสาว 89 ตัวแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และด้วยพระมหากรุณาธิคุณฯ พระองค์ได้พระราชทานโคสาว ทั้ง 89 ตัว ให้กับเยาวชนบุตรหลานของสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรโคนม 89 รายนำไปเลี้ยงต่อ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้คัดเลือกผู้รับโคสาวพระราชทานและส่งมอบแก่เยาวชนทั้ง 89 รายเรียบร้อยแล้ว และผู้ที่ได้รับพระราชทานโคสาว จำนวน 3 ราย ได้เข้าเฝ้าฯทูลละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่เสด็จพระราชดำเนินมาเปิดงานเทศกาลโคนมแห่งชาติ ประจำปี 2561 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งถวายรายงานความก้าวหน้าในการเลี้ยงโคนมที่ได้รับพระราชทาน และบอกเล่าถึงความภาคภูมิใจที่ได้สานต่ออาชีพการเลี้ยงโคนมจากรุ่นพ่อแม่มาจนถึงรุ่นของตัวเอง
นางสาวสมฤทัย ยอดทองหลาง อายุ 25 ปี จากสหกรณ์โคนมพิมาย จำกัด จังหวัดนครราชสีมา ได้รับโคพระราชทาน ชื่อแรม อายุ 2 ปี 11 เดือน และได้รับการอบรมการเพิ่มขีดความสามารถยุวเกษตรกรโคนมในการเลี้ยงโคนม เพื่อเพิ่มผลผลิตฟาร์มโคนมที่ปฏิบัติได้และเห็นผลจริงในปีงบประมาณ พ.ศ.2560 กล่าวว่า ตนรู้สึกภูมิใจที่ได้ประกอบอาชีพที่พระองค์ท่านทรงพระราชทานให้ ซึ่งเป็นอาชีพที่มั่นคงสามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน ปัจจุบันครอบครัวได้เลี้ยงโคนม 63 ตัว แม่โครีด 35 ตัว โคสาว 14 ตัว โคพักท้อง 1 ตัว และลูกโค 13 ตัว ปริมาณน้ำนมโคเฉลี่ย 570 กิโลกรัม/วัน หรือมีอัตราการรีดเฉลี่ย 15.04 กิโลกรัม/ตัว/วัน ซึ่งการรีดนมโคขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย ถ้าช่วงไหนอากาศเย็น โคจะให้น้ำนมมากขึ้น แต่ถ้าอากาศร้อน ผลผลิตจะลดลง ตนก็ต้องดูแลเรื่องอาหาร ยาบำรุง การให้อาหารหยาบและอาหารข้นเพราะแต่ละวันอากาศจะไม่เหมือนกัน โคจะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล จึงต้องควบคุมเรื่องอาหารเป็นหลัก การเลี้ยงโคนมต้องอาศัยความใส่ใจและดูแลใกล้ชิด และต้องทำด้วยใจรักจริงๆ ซึ่งครอบครัวของตนทำอาชีพเลี้ยงโคมาแล้ว 26 ปี ตนได้ช่วยพ่อแม่เลี้ยงโคนมมาตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งเรียนจบการศึกษา จึงได้เข้ามาบริหารจัดการให้อาหารโคภายในฟาร์ม การดูแลแปลงหญ้า การดูแลการให้วัคซีนป้องกันโรค การดูแลสุขภาพโคนม เต้านม และรักษาความสะอาดในโรงเรือนและคอกรีดนม
“หนูคิดว่าอาชีพการเลี้ยงโคนมเป็นอาชีพที่ยั่งยืน เป็นอาชีพที่ควรภาคภูมิใจเพราะในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานให้เรา ความใฝ่ฝันตอนเด็ก คืออยากจะเป็นปลัดอำเภอ จึงเรียนจบด้านรัฐประศาสนศาสตร์มา แล้วไปเป็นทำงานที่เทศบาล แต่พอทำแล้วรู้สึกไม่ใช่ตนเอง เพราะหนูผูกพันและรักอาชีพการเลี้ยงโคนมมากกว่า สุดท้ายก็เลยตัดสินใจลาออกแล้วมาเลี้ยงโคนม ซึ่งทำแล้วมีความสุขมากกว่า และยังทำให้มีรายได้ที่มั่นคง แม้ว่าจะไม่ถึงกับร่ำรวย สำหรับเป้าหมายชีวิตในอนาคต ต้องการสืบสานอาชีพการเลี้ยงโคนมต่อจากพ่อแม่ เพราะอาชีพเลี้ยงโคนมเป็นอาชีพที่ดี ตนจะสานต่ออาชีพนี้ด้วยการผลักดันให้เยาวชนในหมู่บ้านเห็นความสำคัญและมาร่วมกันสานต่ออาชีพจากรุ่นพ่อรุ่นแม่ พยายามทำให้เขาเห็นจุดแข็งของการเลี้ยงโคนมให้มากที่สุด เพราะตอนนี้เยาวชนแถวบ้านกำลังหันไปทำอาชีพอื่น และคาดว่าจะทำการขยายฟาร์มแต่จะพยายามผลิตโคทดแทนจากฟาร์มของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องไปซื้อโคจากที่อื่นเพราะเป็นการประหยัดต้นทุน”นางสาวสมฤทัย กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี