วันพฤหัสบดี ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ที่สุดก็มีความชัดเจนเสียทีสำหรับอนาคต “พาราควอต” ในประเทศไทย ภายหลังจากยื้อยุดกันมานานข้ามปี นับตั้งแต่คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ที่มี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน มีมติตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว ขอให้ กรมวิชาการเกษตร ไปพิจารณาออกประกาศยกเลิกการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช 2 ชนิด ได้แก่ พาราควอต และ คลอร์ไพริฟอส ภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 และภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2560 ต้องยุติการนำเข้าสารเคมีทั้ง 2 ตัว
นอกจากนี้ยังมีความเห็นให้กำหนดโซนการใช้ “ไกลโฟเซต” ซึ่งเป็นยาฆ่าหญ้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก พื้นที่ต้นน้ำ แม่น้ำ และลำคลอง เพราะถูก “องค์การอนามัยโลก” กำหนดให้เป็นสารที่อาจก่อมะเร็ง และมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลายโรค เช่น โรคไต โรคเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ เป็นต้น
ที่กลายเป็นประเด็นขึ้นมา และเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันหนัก ก็คือ ประเด็นของ “พาราควอต”บอร์ดของ รมว.สาธารณสุข และหลายฝ่ายมองว่า เป็นสารเคมีกำจัดวัชพืชที่มีความเป็นพิษสูง และไม่ได้มีผลร้ายต่อการปนเปื้อนในดิน น้ำ และสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างรุนแรงอีกด้วย โดยปัจจุบันมีถึงกว่า 50 ประเทศทั่วโลกที่สั่ง “แบน” เจ้าสารเคมีตัวนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัทสารเคมีและฝ่ายคัดค้าน ก็ไปขุดข้อมูลวิจัยโทษคนใช้ไม่ทำตามคำแนะนำจึงทำให้เกิดผลกระทบเอง พ่วงด้วยกล่าวหากลุ่มสนับสนุนว่ามั่วผลการวิจัยเรื่องผลกระทบต่างๆ จนกลายเป็นสงครามข่าวสารบนหน้าสื่อ
ยื้อกันไปยื้อกันมา จนกระทั่งสุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาสั่งให้ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยตัวแทนภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกลับไปคุยกันเพื่อหาข้อสรุปให้ชัดเจน ซึ่งผลก็อย่างที่ทราบ คือ ที่ประชุมมีมติยืนยันตามมติเดิมของ “คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง” ให้แบนสาร “พาราควอต” ภายใน 2 ปี พร้อมทั้งให้มีการหาสารทดแทน
“ส่วนกรณีที่ฝ่ายคัดค้านอ้างตามงานวิจัยว่าการใช้พาราควอตตามข้อกำหนด จะไม่ทำให้เกิดผลกระทบนั้น เป็นงานวิจัยตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 หรือ 20 ปีที่แล้ว แต่งานวิจัยของปัจจุบันระบุว่า ถึงใช้ตามนั้นก็กระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเมื่อมีมติระงับก็ต้องดำเนินการตามนั้น และหากจะมาบอกว่า การใช้สารทดแทนแพงกว่า ก็ต้องเลือกเอาว่าราคาที่แพงกว่าเดิม กับสุขภาพประชาชน จะเลือกแบบใด”
นี่คือเหตุผลและคำยืนยันโดยสรุปจาก นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข ที่ออกมาจากการประชุมเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งอ่านดูแล้วก็เปรียบเสมือนเป็นการชี้ถูกชี้ผิดได้ค่อนข้างชัดเจนว่า ข้อมูลที่ปล่อยออกมาจากฝ่ายไหนที่ “มั่ว” กันแน่
อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า นี่เป็นแค่ “ช่วงต้น” ของยกสุดท้ายเรื่อง “พาราควอต” เท่านั้น เพราะหลังจากนี้ ยังต้องรอดูต่อไปว่า “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” ของกระทรวงอุตสาหกรรม จะมีมาตรการอย่างไรออกมาในการควบคุมสารเคมีอันตรายดังกล่าว
ที่สำคัญ กะพริบตาไม่ได้อย่างเด็ดขาดนั่นคือ “กรมวิชาการเกษตร” จะจัดการอย่างไรกับ “ผลงาน” ของตัวเองที่ทยอยต่ออายุทะเบียนนำเข้าและจำหน่าย “พาราควอต” ให้กับบริษัทเอกชนไปตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ก่อนที่ทะเบียนของเอกชนซึ่งมีทั้งหมด 3 รายจะหมดอายุ โดยไม่ยอมรีรอผลสรุปในเรื่องดังกล่าว พร้อมกับข้ออ้างง่ายๆ เหมือนลอกคำพูดมาจากกลุ่มบริษัทผู้นำเข้าว่า ไม่มีข้อมูลทางสุขภาพที่ชัดเจนยืนยันเรื่องนี้ ดังนั้นหากไม่ต่อตามกำหนด ก็กลัวว่า บริษัทเอกชนจะได้รับผลกระทบ ธุรกิจได้รับความเสียหาย
ดังนั้นจึงต้องรอดูต่อไปกันให้ดีกับ “ลีลา” ในเรื่องนี้ของกรมวิชาการเกษตร
มะลิลา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี