หลังจากเมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้มีคำสั่งย้าย พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) กาญจนบุรี ที่เข้าไปมีส่วนพัวพันกับคดีหวย 30 ล้านบาทมาประจำที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมาย และแต่งตั้งให้ พล.ต.ต.กฤษณะ ศิริปิยะวัฒน์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ไปปฎิบัติหน้าที่รักษาราชการแทน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี
สำหรับคำสั่งย้ายดังกล่าวสืบเนื่องจากผลการสอบสวนของ บช.ก.พบว่า พล.ต.ต.ตรีสุทธิ ได้ใช้อำนาจหน้าที่สั่งการให้พนักงานสอบสวนผู้ใต้บังคับบัญชาสอบสวนคดีหวย 30 ล้านบาทโดยไม่สุจริต และไม่เป็นธรรม มีอคติเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ในคืนวันทื่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา หลังจากคำสั่งย้าย ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี ถูกเผยแพร่ออกไปได้ไม่นานก็มีเอกสารบันทึกข้อความลับของ บช.ก. เรื่อง ขอให้พิจารณาสั่งให้ พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี มาปฎิบัติราชการที่ ศปร.ตร.ถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งเอกสารดังกล่าวมีทั้งหมด 4 หน้าด้วยกัน
ตามเอกสารดังกล่าวระบุรายละเอียดว่า.......
เดิมที เมื่อ 6 ก.พ. 61 ร.ต.ท.จรูญ วิมูล มาพบ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก.และพล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ปง เพื่อยื่นหนังสือฉบับลงวันที่ 6 ก.พ. 60 ร้องขอความเป็นธรรมและขอให้โอนคดีของสภ.เมืองกาญจนบุรี อาญาที่ 1751/2560 ระหว่างนายปรีชา ใคร่ครวญ ผู้กล่าวหา ร.ต.ท.จรูญ วิมูล ผู้ต้องหา ข้อหาลักทรัพย์ และคดีอาญาที่ 1808/2560 ระหว่างร.ต.ท.จรูญ วิมูล ผู้กล่าวหา นายปรีชา ใคร่ครวญ ผู้ต้องหา ข้อหา แจ้งความเท็จ ฯให้ บก.ป.ทำการสอบสวนฝ่ายเดียว เนื่องจากเห็นว่าการรวบรวมพยานหลักฐานของ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี ไม่ละเอียดรอบคอบ ขาดประสิทธิภาพ หรืออาจมีการใช้ดุลยพินิจพิจารณาพยานหลักฐานผิดพลาด
สำหรับข้อเท็จจริง คือ อันดับแรก สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีบันทึกสั่งด่วนที่สุด ที่ 0001(สส)/182 ลงวันที่ 8 ก.พ.61 ท้ายหนังสือด่วนที่สุด 0011.22/325 ลง 7 ก.พ.61 อนุมัติให้โอนสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ 1751/2560 และคดีอาญาที่ 1808/2560 ของสภ.เมืองกาญจนบุรี ให้พนักงานสอบสวน บก.ป. ทำการสอบฝ่ายเดียว จากนั้นลำดับต่อมา บช.ก.มีคำสั่งที่ 19/2561 ลง 9 ก.พ.61 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนคดีที่ ผบ.ตร. อนุมัติให้โอนตามอันดับแรก
ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ก.พ.61 พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. และคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ได้เดินทางไปสืบสวนสอบสวนในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี โดยเรียกพยานบุคคลจำนวน 7 คน มาทำการสอบสวนปากคำที่ ส.ทล.6 กก.2 บก.ทล.(กาญจนบุรี) โดยมีพยานที่เรียกสอบประกอบด้วย 1.พ.ต.ท.ชูวิทย์ เจริญนาค รองผกก.(สอบสวน) สภ.เมืองกาญจนบุรี 2.ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ชัชรินทร์กุล รองสว.(สอบสวน)สภ.เมืองกาญจนบุรี 3.ร.ต.ท.ศิลป ถิ่นทุ่งทอง รองสว.(จร.) สภ.เมืองกาญจนบุรี 4.ด.ต.นุชิต กระดังงา ผบ.หมู่(ป) สภ.เมืองกาญจนบุรี 5.น.ส.รัตนาพร สุภาทิพย์ (เจ๊บ้าบิ่น) 6.น.ส.พัชริดา พรมตา (เจ๊พัช) และ นายฐนุกร เหลืองใหม่เอี่ยม (แผน)
จากการสอบสวน ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ชัชรินทร์กุล รองสว.สภ.เมืองกาญจนบุรี ให้การว่า เมื่อวันที่ 2 พ.ย.60 เวลาประมาณ 20.30 น.นายปรีชา ใคร่ครวญ มาแจ้งว่า สลากที่ซื้อจาก น.ส.รัตนา สุภาทิพย์ หมายเลข 533726 ถูกรางวัลที่ 1 ได้หายไป พยานจึงได้ทำการสอบสวนปากคำไว้เบื้องต้นลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานและมอบบันทึกประจำวันให้นายปรีชา นำไปติดต่อกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อสอบถามว่า ผู้ใดเป็นผู้มาขอรับเงินรางวัล หลังจากนั้นประมาณ 2 วัน นายปรีชาก็กลับมาหา ร.ต.อ.จิรยุทธ์ แจ้งว่า บันทึกประจำวันที่ลงเป็นหลักฐานใช้ไม่ได้ ต้องมีหมายเรียกพยานเอกสาร ซึ่งนายปรีชา นำตัวอย่างมาให้ดู บอกว่าได้มาจากสำนักงานสลากฯ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ จึงได้ทำหมายเรียกตามตัวอย่างที่นายปรีชา นำมาให้และมอบให้นายปรีชาไป
สัปดาห์ต่อมานายปรีชาได้พา น.ส.รัตนาพร และ น.ส.พัชริดา ผู้จำหน่ายสลากฯมาให้สอบปากคำ ซึ่ง น.ส.รัตนาพร ให้การว่าตั้งแผงขายสลากฯที่ตลาดเรดซิตี้ ใกล้กับแผงขายสลากฯของ น.ส.พัชริดา และ น.ส.รัตนาพร ได้สอบถามหาเลขสลากฯที่ลงท้ายด้วยเลข 26 จากน.ส.พัชริดา ซึ่ง น.ส.พัชริดา แจ้งว่ามี 3 หมายเลขคือ 226,326และ 726 น.ส.รัตนาพร จึงขอซื้อสลากที่ลงท้ายด้วยเลข 726 แต่ไม่ได้บอกว่าซื้อกันราคาเท่าใด โดยบอกว่าจะเอาไว้ให้นายปรีชา คำให้การของ น.ส.พัชริดาในวันนั้นมีเพียงเท่านี้
ส่วนของน.ส.รัตนาพร นอกจากมีคำให้การที่สอดคล้องกับของน.ส.พัชริดาข้างต้นแล้ว มีรายละเอียดเพิ่มอีกว่า มีนายสาธิต หรือาจารย์แดงมาติดต่อรับสลากที่สั่งไว้ และเห็นว่า น.ส.รัตนพร มีสลากที่ลงท้ายด้วย 726 จึงขอซื้อแต่น.ส.รัตนาพรไม่ขายให้ โดยบอกว่าจะเก็บไว้ให้นายปรีชา หากจะขอแบ่งต้องสอบถามนายปรีชาเอาเอง ซึ่งนายสาธิตก็เข้าใจและกลับไป จากนั้น นายปรีชามารับสลากที่สั่งไว้ จำนวน 4 ชุด โดยน.ส.รัตนาพรจดหมายเลขสลากแต่ละชุดมาด้วย เมื่อรับสลากเสร็จแล้วนายปรีชาก็กลับไป
สำหรับนายปรีชา หลังจากไปติดต่อกับกองสลากแล้วก็นำเอกสารกลับมาให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ แก้อีกประมาณ 2 ครั้ง จนวันที่ 28 พ.ย. 60 จึงได้คำตอบจากกองสลากว่า ผู้ที่นำสลากมาขอรับเงินรางวัลชื่อ นายจรูญ วิมูล มีบ้านเลขที่และหมายเลขโทรศัพท์ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ จึงได้ติดต่อนายจรูญ (ภายหลังทราบว่า นายจรูญ เป็นอดีตข้าราชการตำรวจยศ ร.ต.ท.) มาทำการเจรจากับนายปรีชา แต่ปรากฎว่าไม่สามารถตกลงกันได้ มีการโต้เถียงกัน ต่างฝ่ายต่างอ้างเป็นเจ้าของสลาก
จังหวะเดียวกันนั้น พ.ต.ท.ชูวิทย์ เจริญนาค รองผกก.(สอบสวน) สภ.เมืองกาญจน์ หัวหน้างานสอบสวน เห็นเหตุการณ์ จึงเชิญนายปรีชา และ ร.ต.ท.จรูญ เข้าไปพูดคุยในห้องทำงาน
จากนั้น พ.ต.ท.ชูวิทย์ ได้เดินออกมาสั่ง ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ให้รับคำร้องทุกข์ เพราะคู่กรณีตกลงกันไม่ได้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ จึงรับคำร้องทุกข์ไว้ตามคดีอาญาที่ 1753/60 ลง 28 พ.ย. 60 โดย ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ได้ปรึกษาการทำสำนวนคดีนี้กับ พ.ต.ท.ชูวิทย์ โดยตลอด ซึ่งพ.ต.ท.ชูวิทย์ ก็สั่งการด้วยวาจาให้พยานทำการสอบสวนพยานปากต่าง ๆ ให้กลมกลืนต่อมา พล.ต.ต.สุทธิ ผบก.จว.กาญจนบุรี ก็เรียกพยานให้นำสำนวนไปให้ตรวจหลายครั้งทั้งที่บ้านและที่ทำงาน โดยสั่งการด้วยวาจาให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ทำการสอบสวนพยานปาก นายปรีชา, น.ส.รัตนาพร และ น.ส.พัชริดา โดยเพิ่มข้อเท็จจริงลงในคำให้การเดิมที่ได้ทำการสอบสวนไว้ครั้งแรก เพื่อให้เห็นว่ามีการกล่าวถึงพยานหลักฐานต่างๆ ครบถ้วนตั้งแต่การสอบสวนครั้งแรก โดยมีการแก้ไขในลักษณะนี้หลายครั้ง ส่วนคำให้การเดิมได้ฉีกทิ้ง
ทั้งนี้ คำให้การของนายปรีชา ได้มีการแก้ไขล่าสุดวันที่ 11 ธ.ค. 60 แต่ลงวันที่ว่ามีการสอบสวนเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 60 ส่วนคำให้การของน.ส.รัตนาพร และน.ส.พัชริดา แก้ไขล่าสุดเมื่อ 10 ธ.ค. 60 แต่ลงวันที่ว่าสอบสวนเมือ 3 พ.ย. 60 ในการดำเนินการเปลี่ยนแปลงแก้ไขบันทึกคำให้การนี้ พล.ต.ต.สุทธิ และพ.ต.ท.ชูวิทย์ ทราบมาโดยตลอด เพราะ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ได้นำสำนวนไปให้บุคคลทั้งสองตรวจหลายครั้ง บุคคลทั้งสองจึงทราบความเป็นมาเป็นไปของสำนวน แต่ไม่ได้ทักท้วง
กระทั่งต่อมามีคำสั่ง ภ.จว.กาญจนบุรี และคำสั่ง ภ.7 แต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวน แต่สำนวนยังอยู่กับ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ เหมือนเดิม ไม่มีการส่งมอบสำนวนให้แก่หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด ซึ่งขณะที่คณะพนักงานสอบสวนของ ภ.จว.กาญจนบุรี เข้ารับผิดชอบสำนวนสอบสวนก็ยังมีการแก้ไขคำให้การ
ซึ่งในการประชุมกำหนดแนวทางสอบสวน ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ก็แจ้งให้คณะพนักงานสอบสวนทราบถึงการแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำให้การ และเมื่อมีคำสั่งของ ภ.7 ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ก็แจ้งให้ที่ประชุมคณะพนักงานสอบสวน ภ.7 ทราบเช่นกันว่า มีการเปลี่ยนแปลงคำให้การมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งที่ประชุมก็รับทราบแต่ไม่ได้มีการโต้แย้งแต่อย่างใด โดย พล.ต.ต.กฤษณะ ทรัพย์เดช รอง ผบช.ภ.7 ได้บอกว่า "เมื่อทำไปแล้วเดี๋ยวหาทางแก้ไข"
หลังจากนั้นคณะพนักงานสอบสวนก็ได้มีการสอบสวนปากคำบุคคลดังกล่าวเพิ่มเติม เพื่อยืนยันให้ตรงกับข้อเท็จจริงที่ถูกแก้ไขนอกจากนี้เมื่อประมาณกลางเดือน ม.ค. 61 คณะพนักงานสอบสวนของภาค 7 ตกลงกันว่าจะส่งซองพลาสติกบรรจุสลากซึ่งมีลายมือเขียนราคาสลากไปตรวจพิสูจน์ว่าเป็นลายมือของ น.ส.พัชริดาหรือไม่ โดยซองพลาสติกดังกล่าว ร.ต.ท.จรูญ นำมามอบให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 60 และพยานได้เก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน แต่ต่อมาวันที่ 29 พ.ย.60 ลิ้นชักโต๊ะทำงานถูกรื้อค้นและซองพลาสติกดังกล่าวหายไป ทาง ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ไม่มีเอกสารที่จะส่งตรวจ จึงได้ปรึกษา พ.ต.อ.พิพัฒน์ รุ่งสัมพันธ์ ผกก.(สอบสวน) ซึ่ง พ.ต.อ.พิทักษ์ ก็นำเรื่องปรึกษา พล.ต.ต.กฤษณะ และ พ.ต.อ.พิพัฒน์ ได้แจ้งให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ทราบว่า พล.ต.ต.กฤษณะ ให้ยกเลิกการส่งตรวจพิสูจน์ และในเรื่องนี้ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบอีกครั้งหนึ่ง ที่ประชุมก็รับทราบและมีมติไม่ส่งซองพลาสติกไปตรวจพิสูจน์ การประชุมคณะพนักงานสอบสวนของภ.จว.กาญจนบุรี และของภ.7 ไม่ได้มีการบันทึกการประชุมแต่อย่างใด
ขณะที่การสอบสวน พ.ต.ท.ชูวิทย์ ให้การว่า เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้เมื่อ 28 พ.ย. 60 พ.ต.ท.ชูวิทย์ เห็นนายปรีชา กับ ร.ต.ท.จรูญ โต้เถียงกันที่ห้องของ ร.ต.อ.จริยุทธ์ จึงได้เข้าไปสอบถาม เมื่อทราบว่าขัดแย้งเรื่องสลากฯ พ.ต.ท.ชูวิทย์ จึงได้เรียกบุคคลทั้งสองเข้ามาพูดคุยในห้องทำงานของพ.ต.ท.ชูวิทย์ เพื่อไกล่เกลี่ย แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงสั่งให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ รับคำร้องทุกข์ จากนั้นพ.ต.ท.ชูวิทย์ ได้รายงานให้ พล.ต.ต.สุทธิ ทราบด้วยวาจา ซึ่งพล.ต.ต.สุทธิ สั่งการให้รีบอายัดเงินในบัญชีของ ร.ต.ท.จรูญ
จากนั้น พ.ต.ท.ชูวิทย์ จึงแจ้งให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ทราบ โดย พล.ต.ต.สุทธิ ได้เรียกให้ พ.ต.ท.ชูวิทย์ และ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ นำสำนวนไปรายงานความคืบหน้าให้ทราบ และกำชับให้สอบพยานต่าง ๆโดยละเอียด ซึ่ง พ.ต.ท.ชูวิทย์ เป็นผู้ลงนามในหนังสืออายัดบัญชีธนาคารของ ร.ต.ท.จรูญ
ในเวลาต่อมา ร.ต.ท.จรูญ ได้มีหนังสือแจ้งให้ถอนอายัดไม่เช่นนั้นจะดำเนินการตามกฎหมาย ดังนั้น ประมาณวันที่ 8 ธ.ค. 60 พ.ต.ท.ชูวิทย์ จึงไปที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อปรึกษาผู้พิพากษาเกี่ยวกับอำนาจการอายัด บัญชีของพนักงานสอบสวน ระหว่างรอพบผู้พิพากษา ได้พบ นางดุษดี หรือ กุ้ง ถิ่นทุ่งทอง เจ้าหน้าที่ศาลซึ่งรู้จักกับพยานมานาน ประมาณ 10 ปี ได้มาเล่าให้พ.ต.ท.ชูวิทย์ ฟังว่าอยู่ในเหตุการณ์ขณะที่นายปรีชามารับสลากจากน.ส.รัตนาพร และเห็นว่าสลากที่มีเลขท้าย 726 โผล่มาจากกระเป๋าเสื้อของนายปรีชาด้วย
จากนั้น พ.ต.ท.ชูวิทย์ จึงได้กลับมาบอกให้ร.ต.อ.จิรยุทธ์ เรียกนายปรีชา ,น.ส.รัตนาพร และน.ส.พัชริดา มาสอบถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่นางดุษดี เล่ามา ซึ่งเมื่อ น.ส.รัตนาพรและน.ส.พัชริดา มาถึงสถานี (พ.ต.ท.ชูวิทย์ ไม่แน่ใจว่านายปรีชามาด้วยหรือไม่ ) พ.ต.ท.ชูวิทย์ จึงได้เข้าไปสอบถามด้วยตนเอง ซึ่งทั้งสองคนก็บอกว่านางดุษดี อยู่ในเหตุการณ์จริง แต่ที่ผ่านมาไม่ได้กล่างอ้างไว้ เพราะนึกไม่ถึงคนเยอะ จำไม่ได้ พ.ต.ท.ชูวิทย์ จึงแน่ใจว่านางดุษดี อยุ่ในเหตุการณ์และเห็นเหตุการณ์ตามที่เล่าให้ พ.ต.ท.ชูวิทย์ ฟัง พ.ต.ท.ชูวิทย์ จึงสั่งการให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ สอบปากคำนายปรีชา, น.ส.รัตนาพร และ น.ส.พัชริดา ให้ปรากฎชื่อของนางดุษดี อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เพื่อให้มีเหตุในการออกหมายเรียก นางดุษดี มาสอบเป็นพยาน ซึ่ง พ.ต.ท.ชูวิทย์ เคยอ่านคำให้การของผู้กล่าวหาและพยานที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ก่อนการแก้ไขมาแล้วทุกปาก เมื่อพบว่าข้อเท็จจริงใดไม่สอดคล้องกันก็แนะนำให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ทำการสอบสวนพยานปากนั้นให้กลมกลืนกับเหตุการณ์ที่มีอยู่
ทั้งนี้ พ.ต.ท.ชูวิทย์ ยอมรับว่าคำให้การของนายปรีชา ,น.ส.รัตนาพรและ น.ส.พัชริดา มีการแก้ไขหลายครั้ง แต่จำไม่ได้ว่ากี่ครั้งและเมื่อใดบ้าง สาเหตุที่พยานไม่ได้แนะนำให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ทำการสอบสวนเพิ่มเติมไปตามลำดับเหตุการณ์ เพราะจะทำให้คำให้การไม่น่าเชื่อถือ เพราะอาจนำข้อเท็จจริงมาจากสื่อหรือจากแหล่งอื่น ๆคำให้การเพิ่มเติมเช่นนี้ จึงส่งผลต่อการพิจารณานำหนักของพยานในชั้นพนักงานอัยการและชั้นศาล
สำหรับพฤติกรรมเชื่อมโยงของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำให้การนั้น ได้แก่ พล.ต.ต.สุทธิ และพ.ต.ท.ชูวิทย์ ในฐานะผู้บังคับบัญชาของร.ต.อ.จิรยุทธ์ ได้มีการตรวจสำนวนและควบคุมนั่งการให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ทำการเปลี่ยนแปลงคำให้การของนายปรีชา ,น.ส.รัตนาพร และน.ส.พัชริดา ให้มีความสมบูรณ์เหมือนว่ามีการสอบสวนข้อเท็จจริงเหล่านี้มาตั้งแต่การสอบสวนครั้งแรก โดยเพิ่มข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพยานบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ลงไป โดยมี ร.ต.อ.จิรยุทธ์ เป็นผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงคำให้การ ซึ่งการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลต่อรูปคดีเป็นอย่างมาก เพราะทำให้พยานหลักฐานของฝ่ายนายปรีชา มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่งผลต่อการมีความเห็นทางคดีของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และอาจส่งผลต่อการพิจารณาคดีชั้นศาลได้ ซึ่งการกระทำของ พล.ต.ต.สุทธิ ,พ.ต.ท.ชุวิทย์ และร.ต.อ.จิรยุทธ์ ทำให้ ร.ต.ท.จรูญ ต้องร้องขอความเป็นธรรมต่อ ผบช.กง เพื่อขอให้โอนสำนวนการสอบสวนให้ บก.ป.ทำการสอบสวน
อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อพิจารณาดังกล่าว คือ บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงคำให้การของนายปรีชา ใคร่ครวญ ผู้กล่าวหา น.ส.รัตนาพร สุภาทิพย์ และน.ส.พัชริดา พรมตา พยานคือ พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี และ พ.ต.ท.ชูวิทย์ เป็นผู้สั่งให้มีการเปลี่ยนแปลงคำให้การ โดยเป็นการสั่งด้วยวาจาและใช้คำพูดว่า "ทำการสอบสวนให้กลมกลืน" ส่วน ร.ต.อ.จิรยุทธ์ เป็นพนักงานสอบสวนที่เปลี่ยนแปลงคำให้การ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง โดยการเพิ่มข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ได้มาภายหลัง ลงไปในคำให้การเดิมและวันที่ย้อนหลัง เพื่อให้เห็นว่ามีการกล่าวถึงข้อเท็จจริงนั้น ในการสอบสวนปากคำครั้งแรกแล้ว คำให้การจะได้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ซึ่งเมื่อแก้ไขคำให้การเสร็จ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ ก็จะนำไปรายงานให้ พล.ต.ต.สุทธิ และ พ.ต.ท.ชูวิทย์ ทราบและตรวจคำให้การ ส่วนคำให้การเดิม ร.ต.อ.จิรยุทธ์ อ้างว่าได้ฉีกทำลายไปหมดแล้ว
ดังนั้น พล.ต.ต.สุทธิ เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ตั้งแต่ 28 พ.ย.60 โดยพ.ต.ท.ชูวิทย์ เป็นผู้ไปรายงานให้ทราบด้วยวาจา ต่อมาก็ปรากฏตามสื่อต่าง ๆว่า พล.ต.ต.สุทธิ เรียกนายปรีชา และร.ต.ท.จรูญ ไปเจรจาตกลง (ยังไม่ปรากฎความชัดเจนว่าเจรจาอย่างไร ผลเป็นยังไง) หลังจากนั้น พล.ต.ต.สุทธิ ได้เรียกให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ นำสำนวนไปให้ตรวจและสั่งการและสั่งการหลายครั้ง แต่เป็นการสั่งด้วยวาจา ซึ่งร.ต.อ.จิรยุทธ์ ให้การว่า พล.ต.ต.สุทธิ เห็นการเปลี่ยนแปลงคำให้การมาโดยตลอดและแสดงการรับรู้ โดยไม่ได้ทักท้วง ทำให้ ร.ต.อ.จิรยุทธ์ เชื่อว่าการกระทำของตนเองถูกต้องตรงกับคำสั่งการของ พล.ต.ต.สุทธิ แล้ว
พฤติการณ์ของ พล.ต.ต.สุทธิ ที่ปรากฎข้อเท็จจริงจากการสืบสวนสอบสวนข้างต้น เห็นว่าเป็นการใช้อำนาจในฐานะที่ตนเองเป็นทั้งผู้บังคับบัญชาและหัวหน้า พนักงานสอบสวนในจ.กาญจนบุรี สั่งการให้ พนักงานสอบสวนผู้ใต้บังคับบัญชาสอบสวนโดยไม่สุจริต เป็นธรรม และมีอคติเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากพล.ต.ต.สุทธิ ยังคงปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี ในระหว่างการสอบสวนคดีนี้ อาจะเป็นที่ไม่ไว้วางใจของคู่กรณีและประชาชนที่ติดตามข่าวสารในการดำเนินคดี ตลอดจนอาจใช้อำนาจหน้าที่เข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานอันส่งผลให้พยานบุคคลเกิดความหวาดกลัว
เห็นควรมีคำสั่งให้ พล.ต.ต.สุทธิ มาปฎิบัติราชการที่ ตร.โดยขาดจากตำแหน่งเดิม จนกว่าการสอบสวนคดีนี้จะแล้วเสร็จ โดยทางพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้ดำเนินการตามเสนอ ผบช.ก. และให้ จตช./ผอ.ศปกตร.ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ข้อมูลจากกรุงเทพธุรกิจ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี