วงการสงฆ์สายวัดป่าร้อนฉ่า หลังปลดพระนิพนธ์ วัดป่าปฐมชัย พ้นเจ้าอาวาส เสพเมถุน ยักยอกทรัพย์ สุดท้ายวิ่งหนีสื่อหายตัว ลือ สึกหนีความผิดแล้ว
วงการผ้าเหลือง สายวัดป่า ร้อนฉ่า หลัง เจ้าอาวาสวัดป่าปฐมชัย วัดสุดอลัง อันซีนแห่งเมืองนครปฐม ถูกศิษย์ร้องเรียน 7 ข้อหาหนัก ทั้งยักยอกทรัพย์ และเสพเมถุน ก่อนคณะชั้นปกครอง จับถอดจากเจ้าอาวาส พร้อมแจง ได้สึกไปแล้ว แต่กลุ่มผู้ร้องไม่เชื่อ พร้อมยันมีเป็นทีมงาน จัดฉากสร้างบุญโดยมีสาวไฮโซร่วมขบวนการดึงเหยื่อสาวและกลุ่มไฮโซร่วมบุญ หวั่นหนีกบดานรอเรื่องเงียบแล้วเดินหน้าหากินในผ้าเหลืองอีก โดยสื่อเคยเกาะติดบันทึกภาพขอสัมภาษณ์แต่อาศัยช่วยชุลมุลวิ่งหนีขึ้นรถหลบหายไปแล้ว เกือบ 20 วัน โดยแหล่งข่าวเตรียมแฉพฤติกรรมสุดโต่งทั้งเมา มั่วหญิง ในวัดยาวนาน แฉพฤติกรรมไม่ต่างยันตระ เณรคำ แต่เลวร้ายกว่า
24 ก.พ.61 ผู้สื่อข่าวได้รับการแจ้งว่ามีผู้เสียหาย 7 รายได้มีการเข้าร้องเรียน พระครูภาวนา โสภิต หรือ พระครูปลัดนิพนธ์ ธัมมทีโป เจ้าอาวาสวัดป่าปฐมชัย ตำบลหนองปากโลง อำเภอเมืองนครปฐม ต่อพระครูภาวนาวิมล ว. (สุพร ชัย สารธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสระกระเทียม เจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม ชั้นปกครองสายธรรมยุต ด้วย 7 ข้อกล่าวหา โดย 2 ในนั้น มีด้วยเรื่องของการเสพเมถุน กับหญิงหลายคน และยักยอกทรัพย์ ของเหยื่อสายบุญ รมถึงตั้งข้อสงสัยความไม่ชัดเจนการบริหารจัดงานเงินภายในวัด และประพฤติตนไม่เหมาะสมกับสมณเพศ
โดยเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา ที่วัดสระกระเทียม อ.เมืองนครปฐม คณะชุดสอบสวน นำโดยพระครูภาวนาวิมล ว.เจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม เจ้าอธิการไพบูลย์ อัคคธัมโม เจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์ และพระสงฆ์คณะไต่สวนจากจังหวัดสุพรรณบุรี รวม 5 รูป ได้มีการเชิญผู้ร้องเรียนเข้ามารับฟังการชี้แจงผลการสอบสวน ซึ่งเป็นแบบลับ โดยเน้นการไม่ให้แจ้งต่อสื่อมวลชน ที่พยายามจะติดตามการสอบสวนในกรณีดังกล่าวมาหลายวัน โดยในประที่ประชุมว่าคณะสงฆ์ได้มีการ แจ้งว่า พระครูปปลัดนิพนธ์ ได้ส่งตัวแทนเป็นผู้หญิง ได้มาส่งเอกสารแจ้งว่า พระนิพนธ์ หรือชื่อนายนิพนธ์ เพ่งคุณ อายุ 41 ปี ได้ลาสิกขาไปแล้ว โดยมีภาพถ่ายยืนยันมาแสดงในที่ประชุม และได้แจ้งว่า ถือเป็นการยุติการทำงานของคณะชุดสอบสวน
ซึ่งเรื่องดังกล่าว ได้สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ร้องเรียน เนื่องจาก ได้แย้งไปว่า ภาพที่นำมาแสดงในที่ประชุมนั้นเป็นภาพตัดต่อ โดยที่ใบหน้าและลำตัวนั้นไม่ตรงกันกับสรีระของ พระนิพนธ์ หรือ นายนิพนธ์ ซึ่งในที่ประชุมไม่อนุญาตให้มีการบันทึกภาพออกมาเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการตรวจสอบ โดยการประชุมราวเกือบ 2 ชั่วโมง ผู้ร้องเรียนแสดงเจตนาไม่รับผลการสึก โดยทางคณะพระปกครองผู้ทำการสอบสวนจึงได้ มีการทำเรื่องเตรียมเสนอกลับไปยังเจ้าคณะจังหวัดสายธรรมยุติ เพื่อพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ หลังการชี้แจงผลการสอบสวน ผู้เข้าร้องเรียนได้พยายามหลบผู้สื่อข่าวออกไปคนละทาง โดยผู้สื่อข่าวพยายามเข้าสอบถามถึงเรื่องการร้องเรียน ต่อผู้เข้าร้องเรียนบางคน ซึ่งปฏิเสธและพยายามขับรถหลบออกไปจากวัดสระกระเทียมอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีการให้ข้อมูลใดๆ โดยได้บอกเพียงว่าให้ไปสอบถามที่คณะพระที่สอบสวน ซึ่งก่อนหน้าได้รับปากจะให้ข้อมูลและเตรียมเอกสารสรุปที่มีการร้องเรียนมาให้กับสื่อมวลชนทั้งหมด
ขณะที่นางอุไร (นามสมมติ) อายุ 77 ปี หนึ่งในผู้ร้องเรียน ได้มีการออกมาให้ข้อมูลว่า สำหรับการประชุมดังกล่าว นั้นในที่ประชุมได้นำภาพการลาสิกขาของพระนิพนธ์ หรือนายนิพนธ์ มาแสดงแต่หลายคนในที่ประชุมดูแล้วยืนยันว่า ไม่ได้เป็นรูปจริง เนื่องจากเห็นแค่คอเท่านั้น และภาพก็ดูไม่เนียนเหมือนปกติ โดยยังมีหญิงคนที่สนิทกับพระนิพนธ์ ได้ดูแล้วยืนยันว่าไม่ใช่ ซึ่งตนเองเป็นชาวลพบุรี ได้มาเข้าวัด 2 ครั้ง โดยได้เห็นพฤติกรรมของพระนิพน์ หรือ นายพิพนธ์ นั้นนั่งเมาอยู่ โดยมีหญิงสาวรายรอบ ซึ่งเห็นว่า ไม่เหมาะสม กระทั่งมีคนในวัดที่เคยคลุกคลีในวงของพระนิพนธ์ ได้ออกมาบอกข้อมูลถึงความสัมพันธ์แบบผัวเมีย หลายคนออกมาทำให้มีการพยายามเก็บข้อมูลมานานหลายเดือน จนแน่ชัด และเดินหน้าเข้าร้องเรียน ต่อกองปราบ คสช. สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ก่อนหน้า จนกระทั่งมีการสอบสวนมาเรื่อยๆ แต่เรื่องช้า ไม่มีบทสรุป จนกระทั่งมาถึงการแจ้งว่าพระนิพนธ์ได้สึกไปแล้ว โดยทางคณะที่มาแจ้งมาบอกว่า คนที่นำเอกสารมาให้นั้นมีบุคลิกคล้าย หนึ่งในหญิงสาวคนสนิทของพระนิพนธ์ หรือนายนิพนธ์ จึงเชื่อว่า น่าจะเป็นภาพตัดต่อ และทราบว่า ล่าสุดได้หลบหนีไปที่จังหวัดลพบุรี ซึ่งตนเองพร้อมคณะที่ร้องเรียน จะมีการติดตามให้เจอแน่ชัด
โดยหลังการชี้แจงในที่ประชุม ผู้สื่อข่าวได้แสดงตัวและขอสัมภาษณ์กับการร้องเรียนและการเรียนประชุมในวันนี้ ที่หน้าห้องประชุม เจ้าอธิการไพบูลย์ อัคคธัมโม เจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์ ได้บอกเพียงว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลอะไรได้ เนื่องจากยังไม่ชัดเจน อาจจะเกิดความเสียหายได้ โดยคาดว่า ไม่นานเกินไปนัก ซึ่งในระเบียบของคณะสงฆ์จะมีอยู่แล้ว ส่วนการตรวจสอบทรัพย์สิน ในวัดป่าปฐมชัยก็จะมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพุทธศาสนาเข้าไปดำเนินการอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะยุติการตอบคำถามและเดินกลับเข้าห้องประชุมโดยไม่ขอให้ข้อมูลใดใดอีก
ทั้งนี้ก่อนหน้า เมื่อวันที่ 9 ก.พ.61 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้เข้าติดตามการไต่สวนมาแล้วครั้งหนึ่ง จากคณะพระทำการสอบสวนชุดเดิม โดยมีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ มาคอยตรึงกำลังเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ยังไม่ได้มีการเปิดเผยว่า มีการสอบสวนใคร ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูล พบว่า เป็นการเรียกพระนิพนธ์ หรือนายนิพนธ์ มาทำการรับทราบข้อกล่าวหา ตามที่มีผู้ร้องเรียนได้ส่งหลักฐานต่างๆ เข้ามา โดยมีศิษย์ประมาณ10 คน มาติดตามบรรยากาศที่รอบสำนักงานเจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม และมีการแสดงความไม่พอใจ ที่มีสื่อมวลชนที่มาทำการติดตามข่าวของการสอบสวนพระชื่อดัง ก่อนจะวางแผนลวงให้ผู้สื่อข่าวออกจากพื้นที่ โดยบอกว่าพระนิพนธ์ ได้กลับออกไปแล้ว และอาศัยช่วงที่ผู้สื่อข่าว ได้เข้าสอบถามข้อมูลต่อ เจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม ประธานคณะสอบสวน ซึ่งได้ปฏิเสธการให้ข้อมูล ทั้งหมด จึงได้ส่งรถไปรับพระนิพนธ์ ออกจากทางด้านหลังสำนักงาน ก่อนที่ผู้สื่อข่าวจะเห็นสิ่งผิดปกติ และได้มีการวิ่งติดตามเห็นหลังของพระนิพนธ์ ที่ได้วิ่งหนี ขึ้นรถฟอร์จูนเนอร์สีดำที่มีศิษย์ขับมารอรับ เพื่อหลบหนี แม้ผู้สื่อข่าวจะตะโกนขอสัมภาษณ์ ก็ไม่มีการจอดและขับหลบหนีออกจากวัดสระกระเทียมไปอย่างรวดเร็ว และจากวันที่ 9 ก.พ.61 พระนิพนธ์ ได้หาตัวพร้อมคนสนิทเป็นหญิง 2 คน โดยหนึ่งในนั้นเป็นอดีตนางพยาบาล ที่เป็นคนคอยดูแลสุขภาพของพระนิพนธ์หรือนายนิพนธ์ที่มารอรับฟังการแจ้งข้อกล่าวหาด้วย
โดยผู้สื่อข่าว ได้พยายามได้สอบถามและเปิดโอกาศให้ชี้แจงข้อกล่าวหา ทั้งหมดไปยังพระลูกวัด แม่ชี และศิษย์ ที่มาร่วมรอฟังการแจ้งข้อกล่าวหา ถึงการถูกต้องข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้น แต่ได้รับการปฏิเสธ มีเพียงพระลูกวัดบางรูปบอกว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีปัญหามาหลายเดือนภายในวัด โดยมีผู้หญิงที่ขัดแย้งกัน และได้พยายามร้องเรียนต่างๆ นานา แต่ทางพระนิพนธ์ไม่ขอตอบโต้ และไม่ขอให้ข้อมูลใดๆ โดยมีแม่ชีและลูกสาว ที่ทำงานในวัดได้ออกมาบอกว่า หากสื่อจะทำลายศาสนา และไม่กลัวตกนรกก็ให้นำเสนอข้อมูลได้เต็มที่ และไม่ขอพูดอะไรทั้งสิ้นกับข้อกล่าวหา
จากนั้น วันที่ 13 ก.พ. 61 ได้มีหนังสือคำสั่งเจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์ ที่ 1/2561 เรื่องให้พระสังฆาธิการพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ โดยในเนื้อหาระบุว่า พระนิพนธ์ ต้องหาว่าละเมิดจริยธรรมร้ายแรง ถ้าให้อยู่ในหน้าที่ระหว่างการสอบสวน จะเป็นการเสียหายแก่คณะสงฆ์ จึงได้อาศัยอำนาจ ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ใน พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ.2505 ให้พระนิพนธ์พ้นในตำแหน่งหน้าที่ ลงนามโดย เจ้าอธิการไพบูลย์ อคฺคธมฺโม และในวันเดียวกัน มีคำสั่ง ที่ 2/2561 แต่งตั้งพระครูจิตตภาวนานุสิฐ อายุ 73 พรรษา 53 วิทยฐานะ สังกัดวัดป่าดอนกระต่าย ตำบลสระพัฒนาอำเภอกำแพงแสน เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดป่าปฐมชัยแทน
ทั้งนี้ มีกระแสข่าวออกมาว่า คณะสงฆ์ชั้นสอบสวนเตรียมจะมีการนำหนังสือไปติดที่หน้าวัดป่าปฐมชัย เรื่องเกี่ยวกับการขาดจากความเป็นสงฆ์ของพระนิพนธ์ หรือนายนิพนธ์ ซึ่งจะเป็นแสดงความชัดเจนของข้อกล่าวหา ที่มีมูลของคณะสงฆ์ที่ทำการสอบสวน ท่ามกลางความเห็นขัดแย้งของศิษย์ และประชาชนที่เคลือบแคลงถึงกระแสข่าวดังกล่าวที่ปรากฏมาตลอดหลายสัปดาห์ ว่า เป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะบางกระแสได้ลงความเห็นว่า พระนิพนธ์ หรือนายนิพนธ์ ไม่ได้มีพฤติกรรมอย่างที่ถูกร้องเรียน เพราะเห็นภาพภายนอกนั้นเป็นผู้ที่นิ่งสงบน่าเลื่อมใส พูดเพราะ และทางวัดมีการจัดการอบรมปฏิบัติธรรมอย่างเข้มข้น แต่อีกส่วนก็ได้มีการตั้งข้อสงสัยเนื่องจาก ทุกครั้งจะเห็นหญิงสาวรายรอบและจัดการบริการจัดการกิจการต่างๆ ในวัดจนไม่งาม และมีหญิงกลางคนคนหนึ่งหน้าตาดี มีอาชีพการงานที่ดี คอยติดตามใกล้ชิดมาหลายปี ซึ่งยังมีชาวบ้านหลายคนรอบวัดไม่เข้าไปทำบุญเนื่องจากเน้นการทำบุญด้วยปัจจัยเป็นหลัก โดยแค่ธูปเทียนไหว้พระมีการกำหนดราคาถึงชุดละ 299 บาท
ขณะที่ ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังแหล่งข่าวที่เคยใกล้ชิดกับพระนิพนธ์ หรือ นายนิพนธ์ ที่เชื่อถือได้ ซึ่งได้ให้ข้อมูลว่า เรื่องของการร้องเรียนนั้นเป็นเรื่องจริง โดยในข้อหาการยักยอกทรัพย์ นั้นเป็นเรื่องของรถยนต์ เก๋งมาสด้า ซีเอ็ก 5 จำนวน 1 คัน และรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้าแคมรี่ 1 คัน โดยมีผู้ติดตามที่สนิทของพระนิพนธ์ ได้เอาไปใช้และเมื่อทวงถามไปกลับได้รับการแจ้งจากพระนิพนธ์ ว่าได้นำมาคืนแล้วโดยจอดที่หน้าวัดโดยหายไปไม่ทราบว่าใครมาเอารถไปแล้ว จนถึงมีการแจ้งความในข้อหายักยอกทรัพย์ ไว้แล้วที่ สภ.เมืองนครปฐม โดยตำรวจกำลังเรียนคนสนิทหลายคนมาทำการสอบปากคำเพื่อที่จะติดตามรถทั้ง 2 คัน ที่หายไปมาคืนกับเจ้าของ
ทั้งนี้ ในเรื่องของการเสพเมถุนนั้นได้ระบุไปในหนังสือร้องเรียนด้วย โดยมีการวางแผนทำงานเป็นขบวนการ ซึ่งเป็นหญิงทั้ง หมด 6 คนที่อยู่ใกล้ตัวและมีการบริหารงานด้านการเงินกันเองในวัดโดยไม่มีกรรมการวัดมาคอยดูแล ซึ่งพฤติกรรมจะมีการส่งผู้หญิงที่หน้าตาดีคนหนึ่ง ที่มีหน้าที่การงานดี ในระดับสังคมชั้นสูง เกี่ยวกับสายการบิน ไปประกบกับผู้ที่มาทำบุญที่ดูดีมีฐานะให้เข้ามาร่วมกิจกรรมบุญ ก่อนจะขอให้สนับสนุน ปัจจัยต่าง ๆ เข้าวัด และหญิงที่พัวพันทั้ง 6 คนก็มีการอาศัยในวัดเป็นบ้านเป็นหลังบ้าง เป็นห้องในวัดบ้าง ซึ่งมีพฤติรรมอยู่แบบฉันผัวเมียมานานหลายปี ซึ่งยิ่งกว่ากรณีของพระยันตระ หรือ เณรคำ โดยจะนำรายได้ปัจจัยที่ได้รับมากินใช้กันเองจนคนใกล้ชิดหลายคนทนไม่ได้ ซึ่งจะมีหลักฐานเด็ดมาเปิดเผยถึงพฤติกรรมเพื่อให้สังคมได้รับรู้ ในไม่ช้าซึ่งเชื่อว่าสังคม จะต้องตกใจกับพฤติกรรมที่เป็นขบวนการแบบนี้โดยอาศัยผ้าเหลืองหากินอย่างแน่นอน ส่วนที่ผู้ร้องบางคนมีความหวาดกลัว และไม่ยอมพบสื่อ เพราะหลายคนเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม และมีอาชีพการงานที่ดี หากเป็นข่าวจะเกิดความอับอาย และยังมีกลุ่มที่ถูกล่อลวงต่าง ๆนานา ให้เสียทั้งเงินและตัวให้ด้วย โดยไม่ช้าจะมีการรวบรวมข้อมูลมาเสนอต่อสังคมให้รับรู้ ซึ่งยังมีการแอบอ้างเบื้องสูงในหลายๆ เรื่อง เพื่อนำมาเป็นการการันตี ความมีอำนาจของพระนิพนธ์
ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้เข้าสำรวจภายในวัดป่าปฐมชัย พบว่า ไม่ปรากกฎตัวขอพระนิพนธ์ หรือ นายนิพนธ์ โดยมีคนในวัดได้ออกมาบอกกับผู้นำชุมชนว่า ได้หลบหนีไปแล้วตั้งแต่วันที่ มีการแจ้งข้อกล่าวหา โดยมีหญิงในขบวนการร่วมไปด้วย 2 คน ส่วนการตรวจสอบทรัพย์สินต่าง ๆในวัด นั้นได้มีการฝ่ายปกครอง ผู้นำชุมชน ได้เข้าไปร่วมสำรวจแล้ว 1 ครั้งแต่ยังไม่ปรากฏการยืนยัน พระพุทธรูปที่ทองคำ จำนวน 8 องค์ ที่มีผู้มีจิตศรัทธานำมาถวายให้ตั้งในเจดีย์ในวัด และจำนวนเงินทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ได้มาว่าเป็นเช่นใดบ้าง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี