เมื่อเวลา 15.00 น. วันนี้ (2 มี.ค.) หลังจาก น.ส.นิ (นามสมมติ) อดีตพยาบาลโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พร้อมกลุ่มผู้เสียหาย 5 คน และทนายความส่วนตัว ซึ่งถูกกล่าวหาพาดพิงว่าเป็นภรรยาพระปลัดเนิพนธ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าปฐมชัย อ.เมือง จ.นครปฐม เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.สมบัติ สมบัติโยธา รอง สว.(สอบสวน) กก.3 บก.ปอท.เพื่อร้องขอความเป็นธรรมแล้ว
ต่อมา น.ส.นิ พร้อมพวกทั้งหมด 6 คน ได้ออกมานั่งใเปิดใจขห้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าว
น.ส.นิ (นามสมมติ) อดีตพยาบาล รพ.แห่งหนึ่ง พร้อมด้วยผู้เสียหาย 6 คน กล่าวว่า ตั้งแต่เข้าวัดมาตอนแรกก็เพราะชอบปฏิบัติธรรมและอา ซึ่งเป็นอาแท้ๆ ชวนมา พอฟังคำเทศน์หลวงพ่อแล้วมาปฏิบัติก็รู้สึกว่าเข้าใจง่าย ก็เลยมาบ่อยๆ สักพักหนึ่งหลวงพ่อท่านติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี แล้วท่านก็ไม่เคยรู้ตัว เพราะเคยรับเลือด 20 กว่าถุงตอนอายุ 16 ปี ท่านนั่งเทศน์บนธรรมาสน์ แล้วก็ฟุบลงไปเลย โยมอุปัฎฐาก เลยนิมนต์ท่านไปตรวจ หมอก็บอกว่าถ้าท่านเป็นไวรัสตับอักเสบซี ไทป์วัน ทำให้ตับอักเสบเฉียบพลัน ถ้าไม่ฉีดยาตอนนี้จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึง 7 เดือนก็ต้องฉีดยาทั้งหมด 12 เดือน 48 เข็ม
น.ส.นิ กล่าวต่อว่า แล้วพอฉีดยาก็มีไซด์เอฟเฟ็กซ์ 16 ข้อ พี่เลยไปอยู่ตรงนั้นคือเรามาปฏิบัติธรรมก็ดูดายไม่ได้ เลยติดต่อให้คุณหมอช่วยเข้ามาดูได้มั้ย คุณหมอก็มาช่วย แต่ไม่มีเวลามาอยู่ บางทีหลวงพ่ออาเจียนตั้งแต่บ่าย 2 ถึงตี 2 ก็มี แล้ววัดที่มาอยู่ใหม่ๆ ก็ไม่มีใคร พี่ก็คอยดูแล พอพ่อมาฟังธรรมะก็มาช่วย แล้วก็เป็นโยมอุปัฎฐากอยู่ด้วย แกซาบซึ้งในธรรมะ ก็เลยบวช ที่ว่าที่วัดไม่มีผู้ชายก็ไม่ใช่
"เขาบอกว่าหลวงพ่อป่วยจริงมั้ย ก็ถ้าไม่ป่วยคุณหมอจะให้แอดมิทหรือไม่ ถ้าไม่ป่วยจริง คุณหมอคงไม่สั่งยาให้ฉีดเยอะขนาดนั้น" น.ส.นิ กล่าว
ด้าน น.ส.บี (นามสมมติ) 1 ใน 7 ผู้เสียหาย กล่าวว่า เป็นครูจิตอาสาที่สอนที่ค่ายวัดป่าปฐมชัยมา 6-7 ปีมาแล้ว ปีนี้มี 4,000-5,000 คน แล้วคนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย เราก็สนิทกัน จะอธิบายว่าวันนี้มีแม่ชีมาปฏิบัติธรรมที่วัดด้วยกัน เข้ามาปฏิบัติธรรมพร้อมกันเพราะมีพ่อ แม่ มาด้วย ตอนหลังน้องอีกคนแม่ก็เข้ามาบวชชี ก็เลยดูแลแม่ชีที่วัด หลังๆ พ่อเสีย แม่ชีก็เลยมาขอสร้างกุฏิด้วยเงินสำรองของเขาเอง แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหนึ่งในนั้นด้วย แต่จริงๆ แล้วมาเพื่อดูแลแม่
น.ส.บี กล่าวอีกว่า ไม่ได้มาเป็นคณะทำงานของวัด ส่วนอีก 2 คน คือพี่ทิพ ก็ชัดว่าเป็นเขา แต่มาปฏิบัติธรรมในวัดในปีแรกๆ เป็นคนพาเพื่อนมาร่วมปฏิบัติธรรม ไม่ได้เป็นคนจัดทัวร์ให้วัด เพราะว่าทัวร์ต่างประเทศ จะมีคนที่เป็นแอร์โฮสเตส เป็นคนจัดการ ถ้าทัวร์ในประเทศ ก็จะมีตนเป็นคนประสานงาน ส่วนคนสุดท้าย ก็เพิ่งเข้ามาจริงๆ เพราะเพิ่งมาวัดเมื่อเข้าพรรษา มาถือศีลอุโบสถ มาทุกวันพระตลอด 3 เดือน โดยเดือนหนึ่งมา 4 ครั้ง แล้วก็มาเป็นเจ้าภาพกฐินด้วย 1 แสน ทำบุญกับวัด แค่มาทำบุญ ไม่ได้มีหน้าที่ใดๆ เลย ในวัด แต่ก็ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตหรือไม่ เพราะคลิปนี้ก็นานมาแล้ว น.ส.บี กล่าวว่า น่าจะช่วงเดือนมิถุนายน 2560 หรือประมาณ 8 เดือนที่แล้ว ตอนนั้นเป็นวันเกิดของตน และเป็นเวลากลางวัน ไม่ใช่เวลากลางคืนตามที่เป็นข่าว ห้องนั้นก็เป็นห้องรักษาตัวของหลวงพ่อมาตั้งแต่แรก ไม่ใช่ห้องส่วนตัว คือหลวงพ่อท่านสร้างเป็นห้องพยาบาลไว้ เพราะเห็นว่ามีนักเรียนที่มาเข้าค่าย หรือคนมาปฏิบัติธรรมแล้วไม่สบาย หลวงพ่อเลยดำริว่าสร้างห้องพยาบาลไว้ดีกว่า แต่สักพักหนึ่งห้องไม่พอ ท่านเลยยุบห้องพยาบาล มาใช้ห้องนี้
"เวลาท่านป่วย หรือใครป่วย ก็มาใช้ห้องนี้ ก็จะให้น้ำเกลือห้องนี้ แล้วเป็นห้องที่เชื่อมต่อกับห้องอื่น พระที่อยู่ห้องอื่นก็เข้ามาดูแลได้ ไม่ใช่ว่ามีเราคนเดียว ที่เข้าไปดูแล คนถ่ายคลิปก็งงเหมือนกัน เป็นคนถ่ายคนเดียว ไม่ได้แจกจ่ายให้พวกเรา มีครั้งหนึ่งที่เขาเคยโพสในเฟซบุ๊ก แต่หนูเห็นแล้วก็ไม่สบายใจเพราะมันไม่เหมาะสม ก็เลยบล็อกไว้ แต่ก็ไม่ได้บอกใคร เพราะเกรงใจและเห็นว่าเขาเป็นพี่" น.ส.บี กล่าว
น.ส.บี กล่าวว่า เวลาผ่านมา 8 เดือนแล้วคลิปเพิ่งออกมา แล้วมีการกล่าวหาว่าเป็นเวลากลางคืนและเป็นปาร์ตี้สังสรรค์กัน ทำให้ได้รับความเสียหาย แล้วก็มีผู้หญิงแค่ 4 คน จริงๆ มีผู้ชายอยู่ด้วย ซึ่งข่าวที่ออกมาว่าพวกตนทั้ง 7 คน เป็นภรรยาของสมีนิพนธ์ นั้น ก็ไม่เป็นความจริง เอาง่ายๆ คนป่วยขนาดนั้นจะอยู่ด้วยกันยังไง แล้วเวลาเข้าไปก็ไม่ใช่คนเดียว จะชวนกันเข้าไปหลายคน เพื่อไปเฝ้า แล้วก็มีพระ และผู้ชายที่เป็นโยมอุปัฎฐาก ด้วย แม้จะไม่ได้มาอยู่ประจำ
น.ส.บี กล่าวต่อว่า พวกตนไม่ทราบเจตนาของผู้ที่นำคลิปนี้ออกมาเผยแพร่ และชาวบ้านที่อยู่แถววัดซึ่งทราบข่าวก็ต้องการมาให้กำลังใจด้วย
ด้าน น.ส.นิ กล่าวเสริมว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเชื่อว่าน่าจะเกิดจากปัญหาส่วนตัวที่ผู้โพสคลิป น่าจะไม่พอใจตน โดยเข้าใจผิดว่าที่หลวงพ่อไม่สบายนั้นเป็นเพราะตนให้ยาเกินขนาด หรือเหตุผลอื่น ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้น และตนก็เห็นว่าหลวงพ่อก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาตลอด ทรัพย์สินเงินทองก็ไม่เคยเก็บไว้ จะให้ผู้อื่นหมด รวมทั้งรถยนต์ส่วนตัวก็ไม่มีใช้ เวลาไปไหน ยังต้องติดรถพวกตนไป เวลามีกิจนิมนต์ท่านก็อาศัยญาติโยมขับรถไปให้
น.ส.นิ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องพระทองคำ ที่จำเป็นต้องชี้แจงเพราะมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านนิมนต์หลวงพ่อไปบ้าน แล้วบอกว่าพระทองคำนี้เคยมีคนยกได้ด้วยมือเดียว ถ้าหลวงพ่อยกได้ ท่านจะถวาย หลวงพ่อก็แบมือ หลวงพ่อก็ยกได้ เขาจึงศรัทธาแล้วถวาย ครั้งแรกถวายองค์เดียว ตอนหลังก็ถวายให้อีกทั้งหมด 8 องค์ และพระทองคำก็ยังอยู่ในเจดีย์ ซึ่งมีทาง อบต.ไปตรวจสอบแล้วว่ายังอยู่ และตอนนี้ก็มีการใส่กุญแจล็อกไว้
ต่อข้อถามว่า เมื่อทางสำนักพุทธศาสนา ได้เข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ไม่นานท่านก็ลาสิกขาออกไป ถ้าไม่ได้กระทำผิดแล้วลาสิกขาด้วยเหตุใด น.ส.นิ กล่าวว่า ท่านก็ไม่อยากให้พระผู้ใหญ่เดือดร้อน จึงตัดสินใจลาสิกขา และไม่ทราบว่าขณะนี้ท่านไปอยู่ที่ใด แต่หลังจากหลวงพ่อไปแล้ว เราก็ยังอยู่ในวัด จนคณะสงฆ์เข้ามา พระ และแม่ชี ก็ยังอยู่กันครบทั้งหมด
เมื่อถามว่า หากมีการตรวจสอบกันใหม่ยังพร้อมจะเป็นพยานหรือไม่ น.ส.นิ กล่าวว่า พวกตนพร้อมเป็นพยานและยืนยันในกรณีของคลิปได้ ส่วนจะมีการกระทำเป็นขบวนการก็คิดว่ามีอย่างน้อย 2 คน ที่เขาไม่พอใจเรา แล้วคนที่ชื่อป้าอุไร ที่เป็นคนฟ้องพวกตนก็เคยเห็น แต่เขาไม่เคยมายุ่งเกี่ยวอะไรในวัด แล้วเคยฟังคลิปที่เขาให้สัมภาษณ์ ก็พูดวนไปวนมาจับประเด็นไม่ได้เลย เขาก็ไม่ได้รู้เรื่อง
"พวกเรายืนยันจะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด เนื่องจากทำให้เราได้รับความเสียหาย และสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลวงพ่อ ก็ไม่เป็นธรรม เหมือนเป็นการทำร้ายท่าน แล้วที่ทุกคนมาพร้อมกันครั้งนี้ก็เพื่อมาให้กำลังใจ" น.ส.นิ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี