หมู่นี้มีงานเข้ากรมปศุสัตว์ ของอธิบดี อภัย สุทธิสังข์ ถี่หน่อย เสร็จจากทารุณกรรมเสือดำ ก็มาเรื่องของโรคพิษสุนัขบ้า ล่าสุด (12 มีนาคม 2561)
กรมปศุสัตว์ประกาศเขตควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าชั่วคราว 30 วัน ใน 22 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย น่าน ตาก สุรินทร์ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ มหาสารคาม อำนาจเจริญ ยโสธร อุบลราชธานี นครราชสีมา บุรีรัมย์ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง สมุทรสงคราม สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ตรัง สงขลา นนทบุรี และ กรุงเทพมหานคร
โรคพิษสุนัขบ้า หรือ โรคกลัวน้ำ เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัส ถ้าคน หรือ สัตว์ ถูกสัตว์ที่ติดเชื้อโรคชนิดนี้กัด หรือข่วนโอกาสที่เชื้อโรคนี้จะแพร่เข้าสู่ร่างกายก็มีมาก หรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ คือผู้ที่อยู่ในแหล่งแพร่ระบาดของโรค หรือมีการสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ เชื้อโรคนี้จะส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง ถ้ารุนแรงมากก็ถึงแก่ชีวิต แต่ถ้าได้รับวัคซีนทันเวลาก็สามารถป้องกันได้
อาการเริ่มต้นของโรคพิษสุนัขบ้า จะคล้ายกับอาการไข้หวัดใหญ่ เป็นไข้ รู้สึกชาและกล้ามเนื้ออ่อนแรง จากนั้นอาการจะพัฒนาถึงขั้นรุนแรงใน 2 กลุ่มอาการ คือ อาการสองอักเสบ จะกลัวน้ำ กลืนน้ำลายไม่ได้ มีการเกร็งกล้ามเนื้อใบหน้าและลำคอ กลืนอาการลำบาก พูดไม่ชัด ประสาทหลอน อาการสับสน หวาดระแวง คลุ้มคลั่ง กระสับกระส่าย มีน้ำลาย และเหงื่อออกมากผิดปกติ
อีกกลุ่มอาการคือ อัมพาต ใช้เวลาแสดงอาการยาวนานกว่ากลุ่มสมองอักเสบ กล้ามเนื้อจะค่อยๆ อ่อนแรงลงจนเป็นอัมพาต โคม่า และเสียชีวิต
ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ และอธิบดีกรมปศุสัตว์ อภัย สุทธิสังข์ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเกี่ยวกับการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า ในพ.ศ.นี้ว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง 12 มีนาคม 2561 ที่ดูเหมือนสถานการณ์รุนแรง เนื่องจากมีการนำ พระราชบัญญัติ 3 ฉบับ มาบังคับใช้ ทั้ง พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 พ.ร.บ.โรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ พ.ศ. 2557 ซึ่งหากพบว่ามีคนตาย หรือสัตว์ตาย ด้วยพิษสุนัขบ้า ให้ประกาศเขตโรคระบาดทันที
พูดง่ายๆ คือ พอจะมีการบังคับใช้กฎหมายให้ถูกต้อง ก็กลายเป็นว่าทำให้ประชาชนตื่นตระหนก ตกใจกันยกใหญ่ สื่อเองก็ช่วยเผยแพร่ข่าวอีกเลยดูเหมือนเป็นสถานการณ์ที่วิกฤติ อันที่จริงการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าในปีนี้ไม่ได้รุนแรงกว่าปีที่ผ่านๆ มาเลย ปริมาณผู้เสียชีวิตก็นับว่าน้อยกว่าเมื่อเทียบกับปี 2559 ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 13 ราย จึงต้องถือว่าเป็นสถานการณ์การระบาดที่ปกติ...
ไหนๆ ก็ไหนๆ แม้จะไม่รุนแรง แต่นำเรื่องราวของโรคพิษสุนัขบ้ามาเตือนชาวบ้าน ประชาชนทั่วไปให้ระมัดระวังตัว รู้จักป้องกันตนเอง ป้องกันสัตว์เลี้ยงของตนเอง รวมทั้งสุนัข หรือแมวจรจัด บ้างก็นับว่าดี เพราะดูจากตัวเลขที่กรมปศุสัตว์เปิดเผยมาแล้วก็น่าเป็นห่วงว่าคนไทยจะเสี่ยงต่อการระบาดของโรคเสียพิษสุนัขบ้าเสียจริงๆ
ตั้งแต่ 1 มกราคม - 8 มีนาคม 2561 พบการเกิดโรคพิษสุนัขบ้าใน 37 จังหวัด แต่พบเพียงร้อยละ 14.7 ของตัวอย่างที่นำมาตรวจทั้งหมดกว่า 2,350 ตัวอย่าง ชนิดสัตว์ที่พบว่ามีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้ามีเพียง 3 ชนิด คือ สุนัข มีมากที่สุด รองลงไปคือ วัว และแมว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสุนัข และแมวที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
มีจำนวนสุนัขที่มีเจ้าของประมาณ 3.5 ล้านตัว จำนวนแมวที่มีเจ้าของกว่า 1.06 ล้านตัว ในจำนวนสุนัขและแมวเหล่านี้เจ้าของพาไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ยังมีสุนัขและแมวที่ไม่มีเจ้าของอีกจำนวนหลายล้านตัวที่เราเห็นๆ กันอยู่ตามวัด ถนนหนทาง และสถานที่สาธารณะต่างๆ ซึ่งกรมปศุสัตว์ก็มีมาตรการในการป้องกันโดยการจัดเตรียมวัคซีนเพื่อฉีดให้กับบรรดาสุนัขและแมวจรจัดเหล่านั้น จำนวน 1 ล้านโดส ฉีดให้สุนัขและแมวจรจัดได้ 10 ล้านตัว
เรื่องนี้แม้จะเบาใจว่าโรคพิษสุนัขบ้าไม่ได้ระบาดรุนแรงอย่างที่เข้าใจ แต่ออกมาเตือนผู้ที่รักสุนัขและแมวให้ป้องกันและระมัดระวังการคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงไว้บ้างก็ดี
ส่วนเรื่องการจัดซื้อวัคซีนขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นที่สตง.ออกมาตั้งข้อสังเกตเมื่อ 3 ปีที่แล้ว จนทำให้อปท.หลายแห่งไม่กล้าจัดซื้อวัคซีนมาบริการประชาชน ถ้าจะให้มาตรการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าประสบผลสำเร็จ ก็ต้องเคลียร์กันให้ชัดว่าทำได้ ทำไม่ได้อย่างไร เพราะคนเดือดร้อนคือประชาชน
แว่นขยาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี