15 มี.ค.61 พ.ต.อ.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผู้กำกับการประจำสำนักงานจเรตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวในงานเสวนาเรื่อง “ทำอย่างไรจึงจะไม่ตกเป็นเหยื่อแก๊ง Call Center” ณ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าจากเท่าที่ทางตำรวจเคยทำการสืบสวนจับกุมกลุ่มบุคคลที่โทรศัพท์ไปหลอกให้ผู้อื่นหลงเชื่อแล้วให้โอนเงิน หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พบรูปแบบขั้นตอนการหลอกลวงแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน
ขั้นตอนแรก มิจฉาชีพจะใช้ระบบอัตโนมัติโทร.เข้าไปหาเหยื่อ เช่น ขอให้กด 1 กด 9 หรืออื่นๆ โดยโทร.ไปแบบสุ่ม หากผู้รับสายกดตามนั้นก็จะได้พูดคุยกับคนที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ ซึ่งเป็นทีมแรกของขบวนการ ทำหน้าที่พูดคุยเพื่อหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน รวมถึงขอเป็นเพื่อนผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ (Line) พร้อมกับบอกเป้าหมายว่ามีพัสดุให้ไปรับ และพัสดุนั้นคือเงินสดจำนวนมากพอสมควร
จากนั้นมิจฉาชีพก็จะส่งต่อให้ทีมที่ 2 ของขบวนการ โทร.เข้าไปหาเป้าหมายโดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เช่น ตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีแม้กระทั่งอ้างว่าเป็นอัยการหรือผู้พิพากษา บอกว่าเงินสดที่เป็นพัสดุส่งถึงเป้าหมายนั้นอาจพัวพันกับสิ่งผิดกฎหมาย
ซึ่งทีมที่ 2 นี้จะมีจิตวิทยาในการพูดสูง สามารถข่มขู่ให้เป้าหมายเกิดความกลัวขึ้นได้ มีการอ้างชื่อเจ้าหน้าที่คนนั้นคนนี้ เช่น อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสถานีตำรวจต่างๆ อีกทั้งมิจฉาชีพมักโทรศัพท์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (VoIP) และใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถตั้งค่าให้หมายเลขโทรศัพท์ที่ไปปรากฏบนเครื่องของเป้าหมายเป็นหมายเลขจริงของหน่วยงานราชการที่มิจฉาชีพอ้างถึง ยิ่งทำให้เป้าหมายหลงเชื่อได้ง่าย
นอกจากนี้มิจฉาชีพยังข่มขู่ให้เป้าหมายออกห่างจากบุคคลอื่นและห้ามบอกใครเพราะจะมีความผิดฐานเปิดเผยความลับทางราชการ เมื่อทีมที่ 2 ของมิจฉาชีพรู้สึกได้ว่าเป้าหมายเริ่มกลัว ก็จะส่งไม้ต่อให้ทีมที่ 3 ซึ่งจะอ้างตัวว่าสามารถติดต่อผู้บริหารระดับสูงขององค์กรนั้นๆ ให้ช่วยเหลือเรื่องคดีความได้ แต่ขอให้ช่วยโอนเงินไปเข้าบัญชีนั้นบัญชีนี้เป็นการแลกเปลี่ยน ทั้งนี้เหตุที่เป้าหมายหลงเชื่อเพราะมิจฉาชีพมักอ้างว่าอย่างน้อยก็ยังดีกว่าเดินทางไกลไปให้การ เช่น เป้าหมายอยู่กรุงเทพฯ มิจฉาชีพอาจอ้างว่าต้องไปให้การกับตำรวจที่ จ.เชียงใหม่ หรือ จ.สงขลา เป็นต้น
พ.ต.อ.ชูศักดิ์ ขนาดนิด
“80 เปอร์เซ็นต์คนร้ายมักจะอ้างกับเหยื่อว่ามีไปรษณีย์ตกค้าง ที่เหลือก็จะอ้างว่าเป็นหมายศาลตกค้าง หรืออ้างว่าโทรศัพท์จะถูกตัดเพราะไปเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรม ส่วนการถอนเงินแต่ก่อนจะถอนกันในกรุงเทพเป็นหลัก ตอนหลังก็ไปถอนต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ แต่ที่น่ากลัวคือการโอนเงินเข้าบิทคอยน์ (BitCoin-สกุลเงินดิจิตอล) เพราะตำรวจจะตามไม่ได้ ถ้าโอนไปให้ตัวแทนที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย เราไม่สามารถติดตามไปอายัดเงินได้” พ.ต.อ.ชูศักดิ์ กล่าว
ขณะที่ พ.ต.ท.เทิดสยาม บุญยะเสนา รอง ผกก.สอบสวน สภ.ดอยสะเก็ด อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า การแอบอ้างของมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทำให้แม้แต่ตำรวจเองก็ทำงานได้ลำบาก เพราะเวลาตำรวจจะโทรศัพท์ไปสอบถามข้อมูลจากผู้เสียหาย ก็จะโดนตัดสายทิ้งหรือโดนผู้เสียหายต่อว่าเพราะเข้าใจว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่โทร.เข้าไป นอกจากนี้ทีมหลอกลวงทั้ง 3 ทีมของมิจฉาชีพนั้นได้ค่าจ้างไม่เท่ากัน ทีมแรกอาจได้ร้อยละ 4 ของเงินที่หลอกได้ ทีมที่ 2 จะได้เพิ่มมาเป็นร้อยละ 5 และทีมที่ 3 ซึ่งมีจิตวิทยาในการพูดชักจูงสูงที่สุดใน 3 ทีม จะได้สูงถึงร้อยละ 15
พ.ต.ท.เทิดสยาม ยังกล่าวอีกว่า จากที่เคยสอบถามผู้ต้องหาที่จับกุมได้ บางรายให้การว่าทราบข้อมูลส่วนบุคคลของเป้าหมายแทบจะละเอียดจนทำให้เป้าหมายหลงเชื่อยอมโอนเงินให้ เพราะมีการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล แต่ข้อมูลนี้ทางตำรวจไม่ขอยืนยันว่าจริงหรือไม่เนื่องจากผู้ต้องหาจะพูดอย่างไรก็ได้ ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องสืบสวนขยายผลกันต่อไป แต่หลายครั้งพบว่ากว่าจะถึงทีมที่ 3 ทีมแรกหรือทีมที่ 2 นั่นเองที่เป็นผู้สอบถามจนเหยื่อเผลอบอกข้อมูลส่วนบุคคลไปก่อนแล้ว
พ.ต.ท.เทิดสยาม บุญยะเสนา
"คนเขียนสคริป (Script-บทพูด) ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้ข่าวว่ามีการแย่งตัวกันมาก ค่าตัวหลักล้านบาท ไปไหนก็มีคนดูแลตลอด ตอนนี้ทางตำรวจก็พยายามหาตัวอยู่แต่ยังไม่เจอ" พ.ต.ท.เทิดสยาม ระบุ
ด้าน นางสุพัตรา แผนวิชิต นักวิชาการด้านอาชญากรรมเศรษฐกิจและการฟอกเงิน ฝากเตือนถึงประชาชนไว้ว่า 1.ตั้งสติ อย่าให้ข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ กับมิจฉาชีพที่โทรศัพท์เข้ามา และอย่าโอนเงินไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ ตามที่มิจฉาชีพพยายามบอกให้ทำโดยเด็ดขาด 2.โทรศัพท์ไปสอบถามกับหน่วยงานที่ถูกอ้างถึง เพราะหากหน่วยงานนั้นมีการอายัดเงินหรือทรัพย์สินจริงต้องมีการออกเอกสารแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น 3.แจ้งเบาะแส หากทราบบัญชีที่มิจฉาชีพจะให้โอนเงินไป ให้แจ้งไปที่หน่วยงานที่รับผิดชอบคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เช่น DSI หรือ ปปง.
"ถ้าตกเป็นเหยื่อแล้ว อันดับแรกโทร.ไปที่ธนาคารก่อน จากข้อมูลของ ปปง. ที่เขาตรวจสอบบัญชีที่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่วนใหญ่เมื่อโอนเงินไปแล้วจะมีการถอนเงินออกจากบัญชีปลายทางในทันที ส่วนใหญ่จะไม่ทัน แต่ก็ดีกว่าปล่อยไปเฉยๆ เราก็ต้องติดต่อธนาคารปลายทางเพื่อให้ระงับบัญชี ซึ่งเขาจะไปตรวจสอบอีกทีหนึ่ง ต่อไปก็ต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อที่จะไปแจ้งความ ไปลงบันทึกประจำวัน" นางสุพัตรา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี