วันนี้ (21 มี.ค.) นายปรีชา ใคร่ครวญ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทพมงคลรังษี คู่กรณี ร.ต.ท.จรูญ วิมูล หรือหมวดจรูญ ข้าราชการเกษียณตำรวจ ที่ฟ้องร้องแย่งเป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์สลากกินแบ่งรัฐบาล รางวัลที่ 1 งวดประจำวันที่ 1 พ.ย.60 เลข 533726 จำนวน 1 คู่ 5 ใบ เป็นเงินจำนวน 30 ล้านบาท ได้เล่าลำดับเหตุการณ์วันที่ไปซื้อลอตเตอรี่เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2560 ให้กับผู้สื่อข่าวฟังอีกครั้งก่อนที่จะเดินทางไปกระทรวงยุติธรรมพรุ่งนี้ (22 มี.ค.) พร้อมเปิดแถลงข่าวที่หน้ากระทรวง
โดยนายปรีชา เล่าวว่า วันที่ครูมารับลอตเตอรี่กับเจ๊บ้าบิ่น ในวันดังกล่าวนั้น แผงขายลอตเตอรี่ตั้งเรียงกันอยู่ 5 แผง โดยเจ๊พัช ตั้งอยู่ขวามือสุด ส่วนแผงที่ 2-3 เป็นแผงของเจ๊เกียว แผงถัดไปเป็นของเจ๊ซิ้ม และอีก 1 แผงที่ถึดไปจากเจ๊ซิ้มก็คือแผงของเจ๊บ้าบิ่น แต่เมื่อครูไปถึงก็พบว่าเจ๊ซิ้มไม่อยู่ที่แผง เพราะไปเดินเล่นภายในตลาดนัดตลาดเรดซิตี้
เมื่อเจ๊พัชเห็นครูเดินมาก็ได้ตะโกนบอกให้เจ๊บ้าบิ่นนำลอตเตอรี่ที่ครูสั่งจองไว้ส่งให้ครู เมื่อครูได้รับลอตเตอรี่แล้ว ครูจึงจ่ายค่าลอตเตอรี่ให้กับเจ๊พัช แต่เจ้พัช บอกครูให้ไปจ่ายกับเจ๊บ้าบิ่น เพราะเจ๊บ้าบิ่นได้จ่ายแทนครูไปแล้ว ถามว่าลอตเตอรี่หล่นหายที่ไหนนั้นครูไม่ทราบ
ส่วนเรื่องการตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์ของครูที่ทางกองปราบเป็นหน่วยงานตรวจสอบ ปรากฏว่าไม่มีสัญญาณ แต่ก่อนหน้านี้ที่ทางตำรวจภาค 7 ตรวจสอบ พบว่ามีสัญญาณที่ตลาดเรดซิตี้ นี่คือที่มาของการที่จะเดินทางไปร้องขอความเป็นธรรมในวันพรุ่งนี้ (22 มี.ค.)
สำหรับเรื่องของผู้การ (พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล อดีต ผผก.ภ.จว.กาญจนบุรี) เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย เป็นเรื่องอะไรที่ทุกคนงงกันมาก จึงรู้สึกสงสารท่าน เพราะไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร ผมก็ไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น เพราะเราก็ไม่ทราบว่าเรื่องจริงมันเป็นอย่างไร แต่ผมกับผู้การเจอกันแค่สองครั้งคือร้อยเวรเป็นคนพาไปเพื่อให้ชี้แจงและเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปให้ท่านผู้การฟัง ก็เลยอยากจะฝากกับสังคมว่า ในเมื่อมีที่มาที่ไปขนาดนี้ ทำไมลุงจรูญจึงหาคนขายให้ไม่ได้ เพราะคนขายก็คือคุณบ้าบิ่น และเขาก็ไล่ที่มาที่ไปของลอตเตอรี่หมดแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ครูยังมั่นใจอยู่ใช่หรือไม่ ครูปรีชาตอบว่า นี่ก็คือสิ่งที่มันเป็นความจริง ไม่ใช่เรื่องความมั่นใจ แต่เรียกว่าความจริงที่เราบอกมา จึงงอยากให้ลุงจรูญ ไปจำลองเหตุการณ์แบบเราบ้าง ว่าลุงจรูญซื้อลอตเตอรี่มายังไง เมื่อมาถึงตลาดนัดแล้วลุงจรูญอยู่ตรงไหน เพราะวันที่ลุงจรูญมาชี้จุด ในวันนั้นไม่มีตลาดนัด ซึ่งวันอังคาร กับวันศุกร์ ตลาดเรดซิตี้จะมีตลาดนัด ก็ขอเรียนเชิญลุงจรูญนะครับ ขอให้ไปชี้สถานที่หน่อย เพื่อสร้างความกระจ่างให้กับสังคม โดยที่ผ่านมาผมก็พยายามทำความกระจ่างให้กับสังคมมาโดยตลอด
ผู้สื่อข่าวถามว่า สมมติว่า เมื่อคดีไปถึงชั้นศาลแล้ว หากผลตัดสินพลิกกลับมาเป็นของครูปรีชา ตรงนี้ครูปรีชาจะดำเนินการอย่างไรกับทางหมวดจรูญ ครูปรีชาตอบว่าเรื่องนี้ครูเคยบอกเอาไว้ตั้งนานแล้วว่า ที่จริงแล้วครูไม่ได้โกรธลุงจรูญ และไม่ได้มีอะไรกับการกระทำของคุณลุง เพราะเราต่างก็เป็นคนเมืองกาญจน์ด้วยกัน ซึ่งก็จะอโหสิกรรมให้กันอยู่แล้วถึงแม้เรื่องจะเป็นอย่างไร
"แต่สำหรับตอนนี้ผมโดนสังคมเล่นงานผมทางโลกโซเชียลเยอะแยะไปหมด ซึ่งเรื่องดังกล่าวนั้นเกิดจากการกระทำของทนายความ ฝั่งโน้นด้วย และสิ่งนี้คือสิ่งที่ผมจะเดินทางไปร้องเพื่อขอความเป็นธรรม โดยในวันพรุ่งนี้นอกจากจะไปร้องขอความเป็นธรรมจากกระทรวงยุติธรรมแล้ว ผมจะไปร้องขอความเป็นธรรมที่สภาทนายความด้วย ดังนั้นฝากสื่อมวลชนช่วยกระจายข่าวออกไปว่าผมจะไปร้องในสิ่งที่ผมถูกละเมิดหลายๆอย่างกับทนายความ ฝั่งโน้น" ครูปรีชา เผย
ชายลึกลับโผล่หน้าบ้านครูปรีชา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ครูปรีชา ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแล้วเสร็จ ขณะที่กำลังยืนเล่นอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน อยู่ๆก็มีชายสูงอายุ แต่งกายนุ่งขาวห่มขาว นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์รับจ้างมาจอดที่หน้าบ้านใกล้กับครูปรีชา ชายสูงวัยคนดังกล่าวได้ถามว่า ใช่ครูปรีชาหรือไม่ ครูปรีชาก็ได้ตอบกลับว่าใช่ ชายคนดังกล่าวจึงลงมาจากรถพร้อมหิ้วถุงสะพายผ้าสีขาวเดินเข้ามาหา เมื่อมาถึงก็ได้ก้มกราบแทบเท้าของครูปรีชาทันทีทำให้ครูปรีชานั้นตั้งตัวและรับไหว้แทบไม่ทัน
โดยชายชราคนดังกล่าวบอกกับครูปรีชาว่า ตนจบนักธรรมเอก เดินทางมาจากอำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี ตั้งแต่เมื่อวานนี้ และคืนที่ผ่านมาได้หลับนอนอยู่ที่ศาลาวัดไชยชุมพลชนะสงคราม หรือวัดใต้ จนกระเช้าจึงได้จ้างรถจักรยานยนต์ให้ช่วยนำพามาหาครูปรีชาที่บ้าน ตามที่อยู่ที่จดเอาไว้ในกระดาษ ที่ได้มาจากหนังสือพิมพ์
ซึ่งครูปรีชาก็ได้นั่งคุยกับชายชราคนดังกล่าวอย่างเป็นกันเอง ถึงแม้จะเป็นคนที่มีลักษณะที่ออกจะเพี้ยนๆก็ตาม แต่การพูดจาของชายชราคนดังกล่าว ดูแล้วเป็นคนพูดจาออกไปทางธรรมะ และได้บอกกับครูปรีชาว่า การมาครั้งนี้ไม่ได้มาหาครูปรีชาเพียงคนเดียว แต่จะไปพบหมวดจรูญด้วย ซึ่งชายคนดังกล่าวได้พูดคุยกับครูปรีชาตอนหนึ่งว่า การมาครั้งนี้ก็เพื่อขอร้องให้คู่กรณีทั้งคู่ ได้มาตกลงกันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขอให้มาตกลงกันโดยที่ไม่มีผู้แพ้หรือผู้ชนะได้ไหม
แต่สุดท้ายแล้วชายชราคนดังกล่าว ก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองให้ครูปรีชาฟังไปต่างๆนาๆ แต่บทสรุปสุดก็ขอจะขออาศรัยครูปรีชาอยู่ที่บ้านชั่วคราว ซึ่งครูปรีชาก็ได้ตอบปฏิเสธ เพราะว่าที่บ้านมีพี่สาวอยู่เพียงคนเดียว จึงให้อยู่ด้วยไม่ได้ แต่ครูปรีชาได้เสนอไปว่า จะเช่าห้องพักให้อยู่ แต่ชายคนดังกล่าวได้ปฏิเสธที่จะไปนอนพักที่โรงแรม โดยขอให้ครูปรีชา ช่วยพาไปนอนที่วัดไหนก็ได้ แต่จะไม่ขอนอนที่โรงแรมเด็ดขาด
นอกจากนี้ครูปรีชา ยังได้ส่งเงินให้ชายชราคนดังกล่าวเพื่อเอาไว่ติดตัวเป็นค่าใช้จ่าย แต่ก็ถูกปฏิเสธพร้อมกับบอกว่า ผมไม่ต้องการเงิน เพราะผมมีเงินอยู่แล้ว ดังนั้นครูปรีชา จึงรบกวนให้สื่อมวลชน นำชายคนดังกล่าวไปรอที่วัดเทวสังฆาราม พระอารามหลวง หรือวัดเหนือ โดยหลังจากครูปรีชาไปเซ็นต์ชื่อที่โรงเรียนเทพมงคลรังสี ที่อยู่ตรงข้าวกับวัดแล้วเสร็จ จะไปพบ และจะไปหาเจ้าอาวาส เพื่อขอฝากชายคนดังกล่าวเอาไว้ที่วัด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับชายชราคนดังกล่าวไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนติดตัวมาด้วย มีเพียงสำเนาบัตรประชาชนที่ถ่ายเอกสารมาด้วยเท่านั้น จากการตรวจสอบพบว่า ชายคนดังกล่าวคือนายคณิต ตะเภาพงษ์ อายุ 65 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1 หมู่ 9 ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี ซึ่งผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่า การมาครั้งนี้ครอบครัวรู้เรื่องหรือไม่ ซึ่งนายคณิต บอกว่า ตนหนีออกจากบ้านเพื่อต้องการมาพบครูปรีชา และหมวดจรูญ โดยที่ภรรยาและลูก ไม่มีใครทราบเรื่อง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี