ลูกสาวโวยพ่อป่วยฉุกเฉินขอใช้สิทธิ์คุ้มครองค่ารักษา 72 ชั่วโมงจากโรงพยาบาลเอกชนไม่ได้ ทั้งๆ ที่ สพฉ.แจ้งผ่านการประเมิน พร้อมไล่ให้ไปยื่นเอกสารเอง
22 มี.ค.61 น.ส.ตะวันนา บานแย้ม ผู้เสียหายที่เข้าร้องเรียนกรณีบิดาได้รับปัญหาจากการเข้ารับบริการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค.61 ที่ผ่านมา เวลา 19.00 น. บิดาได้เกิดอาการปากเบี้ยว ขยับตัวไม่ได้ ที่บ้านพักในซอยลาดพร้าว 87 ตนและญาติจึงได้รีบนำส่งโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง และมาถึงในเวลา 20.30 น. ซึ่งแพทย์และพยาบาลได้นำตัวเข้ารับการรักษาที่ห้องไอซียูทันที
จากนั้น เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ ได้สอบถามว่าบิดามีสิทธิ์การรักษาพยาบาลสิทธิ์ใดหรือไม่ จึงได้ตอบกลับไปว่ามีเพียงสิทธิ์บัตรทองเท่านั้น แต่ทราบมาว่ารัฐบาลมีนโยบาย "การเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่" หรือ Universal Coverage for Emergency Patients (UCEP) ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินในกรอบเวลา 3 วัน ซึ่งตนนำบิดาส่งโรงพยาบาลภายในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง นับตั้งแต่ทราบว่า มีอาการป่วย จึงได้สอบถามไปยังสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ซึ่งยืนยันว่า บิดาของตน ผ่านเกณฑ์การใช้สิทธิ์ตามนโยบายดังกล่าว
น.ส.ตะวันนา กล่าวว่า จากนั้น ได้สอบถามไปยังโรงพยาบาลเพื่อขอใช้สิทธิ์ UCEP ซึ่งพยาบาลแจ้งว่า ให้ติดต่อฝ่ายกฎหมายของโรงพยาบาลในวันถัดไป ซึ่งคือวันที่ 5 มี.ค.61 ซึ่งตนก็ได้สอบถามฝ่ายกฎหมาย แต่พบว่า มีการบันทึกเวลาที่พบอาการผิดไปจากความเป็นจริง โดยระบุเวลาพบอาการป่วยเป็น 15.30 น. ซึ่งได้ชี้แจงไปว่ามีการบันทึกผิดพลาด พร้อมกับนำพยานมายืนยันเวลาป่วยกระทั่งถึงเวลาที่นำส่งถึงมือแพทย์ และทางโรงพยาบาลก็ยินดีจะเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ถูกต้องให้
"เมื่อผ่านเกณฑ์ UCEP จึงได้สอบถามโรงพยาบาลเกี่ยวกับเอกสารต่างๆ ที่ต้องจัดเตรียมเพื่อให้รับการคุ้มครอง 3 วันโดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล แต่ฝ่ายกฎหมายของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ แจ้งว่า ต้องให้ผู้ป่วยสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด และโรงพยาบาลจะทำเรื่องติดต่อไปยัง สพฉ.เพื่อให้เบิกจ่ายเป็นเช็คเงินสดกลับมาให้กับผู้ป่วย และต้องใช้เวลาราว 1-2 เดือน อีกทั้งยังได้รับแจ้งว่า สิทธิ์ UCEP จะให้กับผู้ป่วยที่ไม่มีเงินจริงๆ หรือผู้ป่วยที่ถูกทิ้งไว้ แต่กรณีของบิดาเป็นอาการทางสมอง ยาบางตัวอาจไม่อยู่ในสิทธิ์ UCEP ด้วย และยังไม่ทราบว่า จะเบิกจ่ายได้เท่าไหร่ และไม่ทราบว่า จะผ่านเกณฑ์ของ สพฉ.ด้วยหรือไม่ ซึ่งได้ชี้แจงไปว่า ติดต่อสอบถามไปทาง สพฉ.แล้ว และได้คำตอบว่าบิดาของตนผ่านเกณฑ์" น.ส.ตะวันนา กล่าว
น.ส.ตะวันนา กล่าวอีกว่า กระทั่งผ่านไปครบ 10 วัน แพทย์ที่ทำการรักษาเห็นว่า อาการผู้ป่วยดีขึ้นและพร้อมจะกลับบ้านแล้ว ซึ่งตนก็สอบถามเกี่ยวกับสิทธิ์ UCEP กับฝ่ายกฎหมายของโรงพยาบาลอีกครั้งว่า ค่าใช้จ่ายในส่วนที่ต้องชำระเพิ่มเติมเป็นอย่างไร และสิทธิ์ดังกล่าวครอบคลุมค่าใช้จ่ายอย่างไรบ้าง ซึ่งญาติยินดีจะจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดราว 1.5 แสนบาท เพียงแต่ต้องการเอกสารที่โรงพยาบาลระบุว่า ต้องนำไปยื่นกับ สพฉ.เพื่อให้สิทธิ์ UCEP แต่กลับได้รับคำตอบที่ดูถูกตอบกลับมา
"ฝ่ายกฎหมายของโรงพยาบาลคนเดิมบอกว่า เคสของบิดาเป็นเคสที่แก้ไข้ข้อมูล แล้วยังต้องการเรียกร้องว่าจะได้เงินคืนเท่าใด แต่ก็ชี้แจงไปว่าในช่วง 3 วันแรกหรือ 72 ชั่วโมงแรกที่รักษาอาการควรอยู่ในสิทธิ์ UCEP ซึ่งจะได้รับการคุ้มครองไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาล แต่ฝ่ายกฎหมายคนเดิมกลับบอกอีกว่า ญาติหัวหมอ หากไม่พอใจให้ฟ้องร้องและไปเจอกันที่ศาล พร้อมกับปัดเอกสารที่ยื่นให้ทิ้งไป และบอกว่า ญาติต้องนำเอกสารไปทำเรื่องกับ สพฉ.เพื่อรับเงินแทน แต่โรงพยาบาลก็ไม่ได้เอาเอกสารใดๆ ให้เพื่อให้ไปติดต่อกับ สพฉ." น.ส.ตะวันนา กล่าว
นอกจากนี้ ฝ่ายกฎหมายคนเดิมบอกอีกว่า นับตั้งแต่มีโครงการนี้ โรงพยาบาลไม่เคยได้รับเงินแม้แต่บาทเดียว ซึ่งตนไม่เข้าใจว่า ที่พูดเช่นนี้เป็นเพราะต้องการลดความเชื่อมั่นนโยบายหรือไม่ หรือต้องการให้เห็นภาพว่า นโยบายดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้จริง และยังบอกอีกว่า หากคิดว่า ไม่ต้องจ่ายเงินก็ให้ไปถามคนที่บอกเองว่าไม่จ่ายเงินคืนได้หรือไม่ และจะได้เงินคืนเท่าใดก็อยู่ที่บุญและกรรม
น.ส.ตะวันนา กล่าวว่า เมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนั้น จึงได้สอบถามกลับไปยัง สพฉ.อีกครั้ง ซึ่งก็ได้รับคำชี้แจงมาว่า สพฉ.ไม่มีนโยบายให้คนไข้ หรือญาติยื่นเอกสารเอง สพฉ.จะติดต่อกับโรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินโดยตรงเท่านั้น และทราบมาว่า บันทึกข้อมูลของ สพฉ.พบว่า บิดาผ่านเกณฑ์การใช้สิทธิ์ในเบื้องต้น แต่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ ไม่ได้ติดต่อส่งเอกสารเพื่อยืนยันการใช้สิทธิ์ใดๆ มาให้พิจารณาเลย
"ก็เท่ากับว่าเรายังไม่ได้สิทธิ์ UCEP ใดๆ และจากนี้ ต้องรออุทธรณ์กับ สพฉ.ในการใช้สิทธิ์ไปอีก 90 วัน จึงจะทราบผล ไม่เข้าใจว่า โรงพยาบาลทำไมจึงไม่ดำเนินการให้ กระทั่งถึงวันนี้ (21 มี.ค.61) ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อใดๆ จากโรงพยาบาลเกี่ยวกับเอกสารการใช้สิทธิ์ เมื่อโทรไปสอบถามฝ่ายกฎหมาย ก็ถูกบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด ซึ่งเดือดร้อนอย่างมาก" น.ส.ตะวันนา กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี