วันพฤหัสบดี ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2568
วันอังคารที่ผ่านมา ได้ยินท่านเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม “สราวุธ เบญจกุล” ออกมาชี้แจงกรณีโครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการและข้าราชการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งกำลังถูกภาคประชาชนใน จ.เชียงใหม่ และเครือข่ายด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักและหนักมาก จนถึงออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ยกเลิกโครงการอยู่ในขณะนี้ ซึ่ง คุณสราวุธ ท่านได้ชี้แจงเอาไว้พอสรุปได้ดังนี้ครับ
ประเด็นแรก โครงการก่อสร้างบ้านพักดังกล่าว ไม่ได้มีปัญหาเรื่องความชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการได้มาซึ่งที่ดินผืนที่กำลังเกิดปัญหา เป็นการได้มาอย่างถูกต้องตามกระบวนการทั้งหมด พร้อมกับยืนยันว่า ศาลยุติธรรมในฐานะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ได้ดำเนินการให้ถูกต้อง ทุกคนอยู่ในสังคมภายใต้กฎหมายเดียวกัน ไม่มีใครได้สิทธิพิเศษ ศาลยุติธรรมก็ไม่มีสิทธิพิเศษ ดังนั้นศาลก็พร้อมที่จะเคารพกฎหมายทุกประการ
ประเด็นที่สอง ขณะนี้การก่อสร้างใกล้จะเสร็จในเดือนมิถุนายนนี้ คือ เหลืออีกประมาณ 2 เดือนเศษ ก็จะต้องมีการส่งมอบงาน ซึ่งโครงการนี้มีงบประมาณที่ถูกใช้ไปมากพอสมควร
ประเด็นที่สาม การเข้ามาอยู่ในพื้นที่นี้ ไม่ได้มีเจตนาเข้าไปเพื่อทำลายสิ่งแวดล้อม หรือทำให้เกิดความเสียหายกับธรรมชาติ รวมทั้งยังมั่นใจว่าสามารถอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมและช่วยดูแลพื้นที่ป่าบริเวณใกล้เคียงได้
ฟังตามที่คุณสราวุฒิชี้แจงมา ผมเชื่อว่า “ไม่มีใคร” คิดจะโต้แย้ง หรือไม่เชื่อสิ่งที่ท่านพูดออกมา แม้แต่ในกลุ่มภาคประชาชนในเชียงใหม่ที่คัดค้านเรื่องนี้ ซึ่งปัจจุบันเขารวมตัวกันเป็น“ภาคีเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ” ผมก็เชื่อว่า ไม่มีใคร “ไม่เชื่อ” ตามที่ท่านพูด
เพราะปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ “กฎหมาย” หรือการตั้งแง่คิดเอาเองว่า ข้าราชการตุลาการทุกท่านที่ได้เข้าไปอาศัยในโครงการ จะมีจิตใจหรือมีเจตนาต้องการทำลายสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใดไม่
สิ่งที่ถือว่าเป็นปัญหาของเรื่องนี้ คือ ปัญหาเรื่อง “ความเหมาะสม” ของสถานที่ก่อสร้างต่างหาก
จากข้อมูลของ “ภาคีเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ” เขาบอกว่า พื้นที่ตรงบริเวณนั้น นอกจากจะเป็นตั้งอยู่บริเวณแนวลาดชันของภูเขาแล้ว ยังเป็นพื้นที่มีป่าเต็งรังขึ้นอยู่ล้อมรอบ ซึ่งโดยธรรมชาติของป่าชนิดนี้ต้องอาศัย “ไฟป่า” ในการผลัดป่าเพื่อให้ตัวเองสามารถดำรงอยู่ได้ โดยไฟป่าจะทำหน้าที่เป็นตัวจัดการโครงสร้างป่าและคัดเลือกพันธุ์ไม้
ทีนี้ปัญหาจึงเกิดขึ้นว่า การที่แนวก่อสร้างโครงการบ้านพักได้ยื่นเข้าไปในป่าเต็งรัง และมีแนวเขตติดกับป่าชนิดที่ว่า “ประชิด” ติดกันแบบพอดิบพอดี แล้วทีนี้พอถึงฤดูไฟป่าจะทำอย่างไร ต้องมีการถางป่าเพิ่มออกไปเพื่อทำแนวกันไฟอีกหรือไม่
เพราะถ้าไม่ถางป่าสร้างแนวกันไฟออกไป โครงการทั้งโครงการก็ย่อมมีความ “เสี่ยง” จะถูกไฟป่าเข้ามาเล่นงานเอาได้ง่ายๆ
นั่นจึงเท่ากับว่าในอนาคต คนเชียงใหม่จะต้องสูญเสียพื้นที่ป่าโดยรอบไปอีกหรือไม่
ดังนั้นปมเงื่อนของปัญหานี้จึงไม่ใช่เรื่องกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องความถูกผิด ไม่ใช่เรื่องรักหรือไม่รักธรรมชาติ และไม่ใช่เรื่องการ “ปลูกป่า” แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการและความเหมาะสมของพื้นที่ล้วนๆ
และนี่ก็ยังไม่ได้พูดถึงประเด็นเรื่อง “ทัศนียภาพ” ซึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึก และเรื่องของ “ใจ” ชาวบ้านในเชียงใหม่อีกนะครับ
แต่ครั้นจะมาบีบบังคับให้ศาลยกเลิกโครงการหรือรื้อบ้านทิ้งไปเลย โดยส่วนตัวของผมเองก็ยังคิดว่า ไม่น่าจะเป็นทางออกที่ดีสักเท่าไร เพราะไม่ได้หมายความว่าเป็นการละลายเงินพันกว่าล้านทิ้งไปเฉยๆ เท่านั้น แต่ยังหมายอาจหมายถึงการต้องหาเงินอีกพันกว่าล้านมาสร้างโครงการทดแทนอีก
น่าเห็นใจทั้ง 2 ฝ่ายครับ
และทางออกก็คงมีอยู่ทางเดียว คือ ทั้ง 2 ฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน เพื่อพูดคุยหา “จุดตรงกลาง” ในการจัดการปัญหาทั้งที่จะเกิดขึ้นตรงหน้าในปัจจุบัน และการป้องกันปัญหาที่จะตามมาในอนาคต เพื่อให้เกิดความสูญเสียและกระทบกระทั่งกันให้น้อยที่สุด
ขอเอาใจช่วยนะครับ
มะลิลา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี