"อรรถพล ตรึกตรอง" ประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีการทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตของกระทรวงศึกษาธิการ นำพยานให้ปากคำต่อ ป.ป.ท. ด้านพยานกล่าวทั้งน้ำตา ยันนับถือรจนาเหมือนแม่คนที่สองที่คอยช่วยเหลือ
เมื่อเช้าที่ผ่านมา (10 เม.ย.61) นายอรรถพล ตรึกตรอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีการทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมด้วยคณะกรรมการสืบสวนฯ และเจ้าหน้าที่นิติกร ซึ่งปลัด ศธ.ได้มอบให้ไปแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และพยานอีก 1 ปาก เดินทางไปให้ข้อมูลกับ ป.ป.ท.เกี่ยวกับการทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิตของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมนำเอกสารหลักฐานไปให้กับ ป.ป.ท.
นายอรรถพล กล่าวว่า ในวันนี้ ตนได้นำเอกสารหลักฐานที่เห็นว่าเป็นประโยชน์กับรูปคดี และเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง จากห้องทำงานของนางรจนา สินที อดีตนักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ ระดับ 8 ที่ถูกไล่ออกจากราชการไปแล้ว พร้อมนำพยานอีก 1 ปาก ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเปิดบัญชีรับโอนเงินจากนางรจนา เดินทางไปให้ปากคำกับ ป.ป.ท. นอกจากนี้ปลัด ศธ.ได้มอบให้นิติกร สป.ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติมต่อ ป.ป.ท.เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย
นายอรรถพล กล่าวว่า ในเช้าวันพรุ่งนี้ (11 เม.ย.) จะมีการประชุมคณะกรรมการกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ซึ่งเท่าที่ตนได้ตรวจสอบเรื่องนี้มาจึงเห็นช่องโหว่ ของกองทุนฯว่าอยู่ตรงไหน ซึ่งมีหลายจุดมาก จึงอยากให้ที่ประชุมพิจารณาในเรื่องการจำกัดความไว้วางใจ และเรื่องกฏระเบียบ เมื่อกำหนดออกมาแล้วอยากให้ปฏิบัติอย่างเคร่งคัด
"ผมดูแล้วว่าที่มาของการทุจริตเงินกองทุนเสมาฯ เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ที่ทุกคนมองข้าม บวกกับความไว้วางใจต่อตัวบุคคล คือไม่ป้องกันความเสี่ยง แต่มองข้ามความเสี่ยง ถ้ามีมาตรการป้องกันความเสี่ยงไว้ เหตุการณ์ครั้งนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น เห็นง่ายๆ คือ กรณีให้คนๆหนึ่งโอนเงินไปที่ไหนก็ตาม กับคนที่แจ้งว่าโอนเงินไปแล้ว ควรจะเป็นคนละคนกัน แต่นี้ปล่อยให้นางรจนา เป็นทั้งคนโอนเงิน และเป็นทั้งคนทำหนังสือแจ้งผู้รับทุนเองด้วย ดังนั้น หากกนางรจนา อยากปรับเปลี่ยนอย่างไรก็แจ้งไปอย่างนั้น ผมจึงมองว่าเป็นเรื่องความประมาทเลินเล่อ ซึ่งต่อไปนี้ก็ต้องเป็นระบบให้มากขึ้น เพราะเจอบทเรียนราคาแพงไปแล้ว โดยจะต้องมาอุดช่องว่าง โดยสามัญสำนึกของคนเป็นผู้บริหารก็ต้องเห็น เพราะช่องว่างมีอยู่ตลอดแนว จะไปตำหนิเฉพาะเจ้าหน้าที่ทั้งหมดก็ไม่ได้ ผู้มีอำนาจก็มีส่วนที่ไม่ได้วางมาตรการ ป้องกันความเสี่ยง ไม่เคยประชุมชี้แจง จะไปมองว่าเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่คุณก็ทำไป หากมองอย่างนี้ไม่ต้องมีระดับสูงก็ได้"
ด้านพยานรายหนึ่ง กล่าวว่า ตนเกิดที่ จ.เชียงราย และเคยได้รับทุนเด็กตกเขียวจากกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต สมัยมาอยู่โรงเรียนประจำที่โรงเรียนศึกษาศึกษาสงเคราะห์บางกรวย จ.นนทบุรี หากจำไม่ผิดประมาณปี 2536–2537 ซึ่งเป็นเด็กทุนตกเขียวรุ่นแรกๆ และได้รับทุนประเภคของใช้-เสื้อผ้า ต่อมาในปี 2548 หลังจากที่ตนเรียนจบชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) แล้วก็ได้มาทำงานในกองทุนเสมาฯที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยการชักนำของนางรจนา ที่ตนนับถือเหมือนเป็นแม่คนที่สอง ช่วงที่ทำงานในกองทุนเสมาฯก็ช่วยงานนางรจนาทุกอย่างที่นางรจนาใช้ เช่น รวบรวมรายชื่อเด็กที่ได้รับทุนเสมาฯทั้งหมดทั่วประเทศ
พยานรายนี้กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า สำหรับตนมองว่านางรจนาเป็นคนดีมาก คอยช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนทุกคน และรักสัตว์มาก เวลาที่ตนมีปัญหาเดือดร้อนนางรจนาก็จะให้คำปรึกษาที่ดีมาก หรือแม้แต่เวลาที่ตนขัดสนไม่มีเงินใช้ นางรจนายังเคยถอดสร้อยคอไปให้ตนจำนำเพื่อนำเงินไปใช้จ่าย และนางรจนาเคยให้ตนเปิดบัญชีเพื่อรับโอนเงินจากกองทุน และก็ให้ตนโอนกลับคืนไปให้ ส่วนการโอนเยอะสุดก็หลักแสนบาท แล้วตนก็โอนคืนกลับไปให้กับนางรจนา โดยที่ไม่เคยถามถึงเหตุผลที่ทำแบบนี้ เนื่องจากตนไม่กล้าถาม จากนั้นในปี 2550 ตนได้ลาออกจากกองทุนเสมาฯ และไปขายโทรศัพย์มือถือกับเพื่อน เพราะช่วงนั้นตนมีลูกและลูกยังเล็กอยู่ จึงอยากมีเวลาเลี้ยงลูกมากขึ้น
"หนูไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะทำแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาในสายตาหนู เขาเป็นคนดีมาก เหมือนแม่คนที่สองของหนู ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ปรึกษาเขาได้ทุกเรื่องและคอยให้ความช่วยเหลือหนูตลอด ถึงแม้นหนูจะออกจากกองทุนไปแล้วก็ตาม" พยานรายนี้ กล่าวทั้งน้ำตา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี