“ขุนเกษตรา”...รายงานตัว นำเรื่องราวภายใต้ ชายคาพระพิรุณในรอบสัปดาห์มาเล่าสู่กันฟัง....เริ่มจากต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดสัมมนาใหญ่ “การขับเคลื่อนการปฏิรูปภาคการเกษตร” ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เชิญผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกษตรจังหวัด สหกรณ์จังหวัด ทั่วประเทศ เข้าร่วมสัมมนา โดยมีรองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาเป็นประธานเปิดงาน...งานนี้ถือว่าเป็นการประกาศความพร้อมของรัฐบาลในการปฏิรูปภาคการเกษตร ด้วยการอัดงบ 2.4 หมื่นล้านบาท เดินหน้าปฏิรูปภาคเกษตร 20 โครงการ เสริมจุดแข็งเศรษฐกิจประเทศ โดยเชื่อมโยงกับโครงการเดิม เช่น เกษตรแปลงใหญ่ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เกษตรอินทรีย์ การพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ (young smart farmer) หรือการพัฒนาสถาบันเกษตรกรรูปแบบประชารัฐ มุ่งหวังให้ภาคเกษตรเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากเพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการปฏิรูป 3 ด้าน คือ การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ความเท่าเทียมและการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม และการปฏิรูปด้านสถาบันเศรษฐกิจ
รองนายกฯสมคิด ได้เน้นย้ำว่ารัฐบาลมีความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาความยากจนของเกษตรกรด้วยการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เร่งพัฒนาภาคการเกษตรให้มั่นคงและเข้มแข็ง เพราะภาคการเกษตรเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากและทำให้เกิดการปฏิรูปประเทศ ซึ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้การปฏิรูปเห็นผล ต้องเปลี่ยนภาคเกษตรให้เข้มแข็ง ทันสมัย ซึ่งต้องหาคนรุ่นใหม่มาอยู่ในภาคเกษตรกรรม เกษตรกรเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ความมั่งคั่งของภาคเกษตรไม่ได้อยู่ที่ราคาเพียงอย่างเดียว แต่การปฏิรูปอาจจะต้องใช้เวลาและความอดทน โดยเน้น 5 มิติในการดำเนินการ ได้แก่ ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง, ใช้การตลาดนำการผลิต, ส่งเสริมความรู้และสนับสนุนแหล่งทุน พร้อมกับนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาปรับใช้, ผลักดันสินค้าเกษตรไทยเข้าสู่ตลาดโลก, และเชื่อมโยงภาคเกษตรกับการท่องเที่ยวและบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเมืองรองและการท่องเที่ยวชุมชน โดยใช้การเกษตรเป็นจุดขายที่สำคัญ พร้อมหยอดวลีเด็ด “เกษตรกรคือทรัพยากรสำคัญ เกษตรกรไม่ใช่ภาระ แต่เป็นทรัพย์สินสำคัญของประเทศ”
สำหรับการขับเคลื่อนการปฏิรูปภาคการเกษตร นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายให้ 2 หน่วยงานเป็นตัวขับเคลื่อนโครงการ คือกรมส่งเสริมการเกษตรและกรมส่งเสริมสหกรณ์ โดยเฉพาะกรมส่งเสริมการเกษตรขับเคลื่อน 5 โครงการหลัก ได้แก่ 1.โครงการเพิ่มทักษะอาชีพแก่เกษตรกรผู้ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ภายใต้มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จัดให้มีการฝึกอบรมตามอาชีพ โดย ธ.ก.ส. จะส่งรายชื่อเกษตรกร ที่ผ่านการคัดแยกที่วิเคราะห์แล้ว ซึ่งได้รับโดยเกษตรกรที่ผ่านการอบรมและจะได้รับใบรับรองว่าผ่านการฝึกอบรมจากศูนย์ปฏิบัติการ 40 ศูนย์ ทั้งหมด 85 หลักสูตร 2.โครงการพัฒนาอาชีพชาวสวนยางรายย่อยเพื่อความยั่งยืน ส่งเสริมให้เกษตรกรปรับลดพื้นที่ชาวสวนยางให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า 3.โครงการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรรายย่อย โดยกิจกรรมจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1. การฝึกอบรมเกษตรกร ใน 9,101 ชุมชน ชุมชนละ 200 ราย รวม 1,820,200 ราย และ 2. การพัฒนากลุ่มเกษตรกร ในชุมชน อาจจะมากกว่า 1 โครงการก็ได้ ที่มีความสนใจร่วมกัน และเกษตรกรจะต้องผ่านการอบรม ซึ่งเน้นการพัฒนาเกษตรกรรายย่อย ให้เกิดความเข้มแข็ง ทั้งนี้ รัฐบาลให้สิทธิในชุมชนในการพิจารณาความเหมาะสมของโครงการ 4.โครงการศูนย์ขยายพันธุ์พืช เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตพันธุ์พืช โดยเฉพาะการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ, ท่อนพันธุ์ และต้นพันธุ์ รวม 8 ล้านต้น ภายใต้การกำกับของศูนย์ขยายพันธุ์พืช ทั้ง 10 ศูนย์ ของกรมส่งเสริมการเกษตร และ 5.โครงการพัฒนาผู้ประกอบการเกษตรรุ่นใหม่ โครงการพัฒนาผู้ประกอบการเกษตรรุ่นใหม่ โดย Young smart farmer ของกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน 4,850 ราย ได้รับการพัฒนาเป็นผู้ประกอบการเกษตร และเป็นผู้นำด้านเกษตร 4.0
ขุนเกษตรา...คาดหวังว่า 2.4 หมื่นล้านที่ทุ่มลงไปกับการปฏิรูปภาคการเกษตร จะทำให้เกษตรกรได้รับประโยชน์โดยตรงและสูงสุดเพื่อจะได้ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง ก็ต้องขอฝากความหวังนี้ไว้กับผู้ที่เกี่ยวข้องและเป็นกำลังใจให้คนทำงาน เพื่อจะได้นำพาเกษตรกรไทยให้หลุดพ้นความยากจนเสียที...
ขุนเกษตรา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี