17 มี.ค. 61 จากกรณีเหตุนายสมหมาย อาสากูล อายุ 34 ปี ลูกเขยโหด ได้ใช้อาวุธปืนสั้น ชนิดลูกโม่ ขนาด .38 ก่อเหตุยิงน.ส.อรณี ยอดสว่าง อายุ 25 ปี ภรรยา และใช้ปืนกระบอกเดียวกันยิงนายสำเนา ยอดสว่าง อายุ 56 ปี ซึ่งเป็นพ่อตา เสียชีวิตหลังจากตามง้อขอคืนดีกับภรรยาไม่สำเร็จ เหตุเกิดที่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 76 บ้านหนองมะค่า ม.14 ต.สะเดา อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 13 เม.ย.ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าวล่าสุดเมื่อเวลา01.45 น. วันที่ 17 เม.ย. พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. สั่งการให้ พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.3 บก.ป. พ.ต.ต.เอนก บุญตา สว.กก.3 บก.ป. และเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.3 บก.ป. ทำการจับกุมตัว นายสมหมาย อาสากูล อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 60 ม. 14 ต.สะเดา อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ตามหมายจับศาลอาญาจังหวัดนางรอง ที่ 67/2561 ลงวันที่13 เม.ย. ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร โดยสามารถจับกุมตัวได้ภายในห้องเช่าไม่มีเลขที่ ม.12 ต.เมืองเก่า อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
พ.ต.อ.บุญลือ กล่าวว่า เหตุดังกล่าวเกิดจากการที่ผู้ก่อเหตุมีปัญหากับครอบครัวผู้ตาย เพราะหลังแต่งงานทางครอบครัวฝั่งภรรยาก็กีดกันไม่ให้ยุ่ง ด้วยความสงสัยและน้อยใจ วันก่อเหตุจึงเดินทางมาคุยกับครอบครัวฝ่ายภรรยาและก่อเหตุดังกล่าว หลังก่อเหตุก็ได้ขึ้นรถหนีมาที่กบินทร์บุรี ทั้งนี้จากการตรวจสอบภายในห้องเช่าดังซึ่งเป็นสถานที่จับกุมเจ้าหน้าที่พบจดหมายลาตายไว้ในห้องพักที่ถูกจับกุม คาดว่าหากจับกุมช้ากว่านี้น่าจะก่อเหตุฆ่าตัวตาย ทั้งนี้ปืนที่ยิงมีทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายแต่เป็นของพ่อคนร้าย
จากการสอบสวน นายสมหมาย ให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ลงมือก่อเหตุจริง โดยในวันเกิดเหตุตนได้ไปตามง้อปรับความเข้าใจกับ น.ส.อรณี ภรรยาแต่ไม่เป็นผล พร้อมทั้งถูกถูกด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรงเหมือนกับรำคาญตน จึงเกิดบันดาลโทสะ ใช้อาวุธปืนของพ่อตนเองที่แอบขโมยมายิงใส่ น.ส.อรณี จนเสียชีวิต ระหว่างนั้นนายสำเนา พ่อของ น.ส.อรณี ซึ่งเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีจึงวิ่งปรี่เข้ามายื้อยุดฉุดกระชากปืนจากตนด้วยความตกใจจึงลั่นไกใส่นายสำเนา จนเสียชีวิตไปอีกราย ทั้งนี้ภายหลังเกิดเหตุตนทำอะไรไม่ถูกจึงรีบหนีขึ้นรถโดยสารเดินทางไปหาที่กบดานตามต่างจังหวัดแบบไม่มีจุดหมาย ก่อนจะมาซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ อ.กบินทร์บุรี กระทั่งมาถูกจับกุมตัวได้ดังกล่าว
นายสมหมาย ให้การต่อว่า สำหรับปฐมเหตุเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างตนและภรรยาเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2560 หลังครอบครัวตนและภรรยาต้องการให้ตนแต่งงานกัน โดยที่ไม่เคยรักใคร่หรือชอบพอกันมาก่อน โดยมีสินสอดเป็นเงินจำนวน 8 หมื่นบาท พร้อมกับทองคำหนัก 1 บาท ทั้งนี้พอแต่งงานกันแล้วตนก็พา น.ส.อรณี มาอยู่กินกันที่ จ.ฉะเชิงเทรา เนื่องจากตนต้องมาทำงานเป็นช่างประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ที่โรงงานแห่งหนึ่ง แต่พอหลังจากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้เพียงแค่ 1-2 สัปดาห์ น.ส.อรณี ก็เริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป ทำตัวห่างเหินเหมือนรังเกียจและไม่ยอมใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ก่อนจะหนีกลับมาอยู่ที่บ้านเกิด ซึ่งที่ผ่านมาหลังจากแต่งงานกันมา 1 ปี ตนและ น.ส.อรณี เคยร่วมรักกันเพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้น อีกทั้งเวลาที่ตนกลับมาตามง้อก็ถูกคนในครอบครัวของน.ส.อรณี กีดกัน มีเพียงแค่แม่ของ น.ส.อรณี เท่านั้นที่เอ็นดูตน รักตนเหมือนลูกจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตนรู้สึกน้อยใจ เหมือนกับหลอกแต่งงานเอาเงินสินสอด
“ก่อนแต่งงาน ผู้ตายเคยบอกผมว่า อยู่ๆกันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง แต่พอเอาเข้าจริงกลับกลายเป็นผมที่รักเธอฝ่ายเดียว ส่วนเธอกลับทำเหมือนผมเป็นคนน่ารังเกียจ ไม่ยอมให้เข้าใกล้ แม้แต่ตอนนอนยังต้องเอาหมนข้างมาวางกันกลางไม่ให้ใกล้ชิดกัน สุดท้ายผมอยากฝากขอโทษที่ก่อเหตุดังกล่าว ที่ทำไปเพราะเป็นอารมณ์ชั่ววูบ “
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับก่อนส่งตัวให้พนักงานสอบสวน สภ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ รับตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี